แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เคล็ดลับดูแลสุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เคล็ดลับดูแลสุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

31/5/57

ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด



       กาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษหากดื่มไม่ถูกวิธี  ก่อนจะรู้ว่าดื่มกาแฟอย่างไรจะเกิดประโยชน์สูงสุด เรามาดูผลดี ผลเสียของกาแฟกันก่อนนะค่ะ
หากดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ จะเกิดผลดีต่อร่างกายดังนี้ค่ะ
  • กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน  เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานต่อเนื่อง เช่น ทำงานรอบดึก ควบคุมเครื่องจักรกล รวมถึงผู้ขับขี่รถยนต์ระยะทางไกลๆ โดยกลไกการออกฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีนนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากคาเฟอีนไปยับยั้งการทำงานของสารอะดีโนซีน (adenosine) ทำให้เซลล์ประสาทมีความไวมากกว่าปกติ มีการหลั่งของสารสื่อประสาท เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) เพิ่มขึ้น ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน
  • ช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย กลไกนี้มาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการหลั่งของสารสื่อประสาทเคทีโคลามีน (cetecholamine) ซึ่งจะไปกระตุ้นการสลายไขมันในเนื้อเยื่อให้เป็นพลังงาน ดังนั้นคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปไกลโคเจน (glycogen) จึงยังคงเป็นแหล่งพลังงานสำรองที่สะสมในกล้ามเนื้อ ร่างกายจึงทนทานต่อกิจกรรมที่ใช้แรงมากได้นานขึ้น



 หากดื่มกาแฟปริมาณมากเกินไป จะเกิดผลเสียต่อร่างกายดังนี้ค่ะ
  • หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง อัตราการบีบตัวของหัวใจและปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อนาทีจะเพิ่มขึ้น
  • นอนไม่หลับ หากร่างกายได้รับคาเฟอีนสูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน จะทำให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท และช่วงเวลาที่หลับนั้นสั้นลง
  • เร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร คาเฟอีนมีฤทธิ์ไปกระตุ้นการหลั่งกรดเพปซิน (pepsin) และแกสตริน (gastrin) อาจทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้รุนแรงขึ้นได้
  • ปัสสาวะบ่อยๆ คาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยจะไปลดการดูดกลับของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมจากหน่วยไต แร่ธาตุเหล่านี้จะถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ จึงมีข้อสันนิษฐานว่า หากมีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายบ่อยๆ ในปริมาณมาก อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือนได้
  • ปวดศีรษะ ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ หากหยุดดื่มกะทันหันจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ร่างกายอ่อนเพลีย และง่วงนอน



   เมื่อรู้ผลดีผลเสียของกาแฟกันแล้ว ก็มาดูกันเลยค่ะว่าดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
  1. ควรสังเกตว่าตัวคุณเอง มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟกี่ถ้วย มีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตนเอง
  2. หากมีอาการนอนหลับยาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือช่วงหัวค่ำ
  3. ไม่ควรดื่มกาแฟขณะท้องว่าง เนื่องจากคาเฟอีนเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
  4. ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อหักโหมทำงาน และอดนอนติดต่อกันหลายๆ คืน แม้ว่าคาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวจริง แต่สมองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้
  5. หากคุณเป็นผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมเพิ่มเติม เช่น นม    โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทน แคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น
  6. ควรกินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้
  7. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของคาเฟอีน


ดืมกันในปริมาณที่พอดีนะค๊าา



24/5/57

ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ทำไมเป็นกันมากขึ้น



    ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ทำไมเป็นกันมากขึ้น (Lisa)

               คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม…อาจไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่อาจเกิดจาก "ภูมิแพ้" ถึงอาการจะดูธรรมดา แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ อาจลุกลามไปจนถึงขั้นทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้เลย ทีนี้แหละเรื่องใหญ่ !

               ถ้าพูดถึง "ภูมิแพ้" หลาย ๆ คนคงนึกถึงอาการ พวกผื่นคัน ลมพิษ แต่รู้ไหมว่านอกจากอาการทางผิวหนังแล้ว ในระบบทางเดินหายใจของเราก็เกิดอาการแพ้ได้เหมือนกัน และบางคนก็อาจจะแพ้แต่ไม่รู้ตัวก็ได้ซึ่งจากการสำรวจในประเทศไทยก็พบว่า ในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมานี้ อุบัติการณ์ของโรค เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัวเลยทีเดียว

               ทำไมถึงได้ "แพ้"?

               "สาเหตุของโรคภูมิแพ้ในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าน่าจะมีพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อมาเจอกับสภาพแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ มากมาย เช่น ไรฝุ่น เกสรหญ้า ซากแมลงสาบ อาการแพ้ก็ก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผนังจมูก ผิวหนัง เยื่อบุหลอดลม เมื่อมีปฏิกิริยามาก ๆ เข้า ผู้ป่วยจึงรับรู้ถึงอาการที่แสดงออกมา และอาการจะกำเริบขึ้นถ้าไปถูกตัวกระตุ้น เช่น ความเครียด มลภาวะจากสิ่งแวดล้อม กลิ่นน้ำหอม หรือควันบุหรี่" นพ.ภก. สุรสฤษดิ์ ขาวละออ กล่าว 

               "ตามทฤษฎีแล้วคาดว่าโรคนี้น่าจะมีมานานอยู่คู่กับเรามาตลอด โดยผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกถึงภัยที่ซ่อนอยู่ แต่สาเหตุที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ พบผู้ป่วยมากขึ้นหลายเท่าตัว น่าจะเพราะวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวกระตุ้นอาการแพ้มีมากขึ้นจนทำให้แสดงอาการออกมาบ่อยและรุนแรงขึ้น ทำให้ดูเหมือนจำนวนคนไข้โรคนี้มีมากขึ้นกว่าเดิม"

               เหมือนหวัด…แต่ไม่ใช่หวัด

               อาการที่สังเกตได้เบื้องต้นของคนที่เป็นภูมิแพ้ทางเดินหายใจก็คือ น้ำมูก ไอ (เป็นมากในตอน กลางคืนและเช้ามืด) จามบ่อย ๆ คัดจมูก ปวดศีรษะ ปวดใบหน้า คล้าย ๆ กับเวลาเป็นหวัดแต่ไม่มีไข้ และอาการดังกล่าวก็มักจะเป็นเรื้อรังเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ๆ ไม่หาย
               
               "อาการผิดปกติใด ๆ ก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย หากเรื้อรังเกินกว่า 1-2 สัปดาห์ หรือซื้อยารับประทานเองแล้วยังไม่ดีขึ้น ต่อให้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ควรไปปรึกษาคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสมจะดีกว่า" คุณหมอสุรสฤษดิ์แนะนำ


               ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งรุนแรง

               หลายคนพอเห็นว่าอาการที่เป็นมันไม่ได้หนักหนาอะไรก็มักจะคิดว่าปล่อยไว้เดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่ถ้าคุณเป็นภูมิแพ้ เมื่อระบบทางเดินหายใจถูกกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ต่อเนื่อง นานวันเข้าเยื่อบุจมูกที่อักเสบจะบวมขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้หายใจไม่ออก ต้องหายใจทางปาก หรือบางท่านจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่คุณหมอเรียกว่า "ริดสีดวงจมูก" ไปปิดกั้นทางเดินหายใจเพิ่มเข้าไปอีก 

               คุณหมอเสริมต่อว่า "ถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวไปขวางในช่องจมูกจะทำให้คุณหายใจไม่สะดวก คุณจะนอนกรนต้องนอนอ้าปากเพื่อหายใจทางปากแทน เพราะขาดอากาศขณะหลับ คุณภาพการนอนก็จะลดลง คุณจะรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นมาปากคอแห้ง เจ็บคอทุกเช้า มีน้ำไหลจากจมูกลงคอตลอดเวลา คอไม่โล่ง หรือร้ายกว่านั้นก้อนที่ว่านี้อาจจะไปปิดรูเปิดไซนัสซึ่งอยู่บริเวณใบหน้า ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณใบหน้า ปวดศีรษะหรืออาจเกิดไซนัสอักเสบเพิ่มเติมขึ้นมา อีกโรคหนึ่งก็เป็นได้"


             รู้แล้วอย่านิ่งนอนใจ

               เพราะนานวันเข้าอาการแพ้อาจไม่อยู่แค่ในจมูกอีกต่อไป แต่จะลุกลามลงไปถึงหลอดลม เป็นต้นเหตุของ"โรคหืดจากภูมิแพ้" คุณจะแน่นหน้าอก หายใจลำบาก มีเสียงหวีดดังเวลาหายใจ โดยมักจะมีอาการเวลากลางคืน นอกจากนี้ ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ การจับหืดแต่ละครั้งจะทำให้สมรรถภาพของปอดลดลงจนในที่สุดอาจพัฒนาเป็นโรคหลอดลมอักเสบ เรื้อรัง หรือจนถึงขั้นเสียเนื้อปอดจนกลายเป็นถุงลมโป่งพองก็ได้
               ทั้งนี้ เมื่อโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรมจึงไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้น ควบคุมโรคได้มากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้าคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้แล้ว หรือไม่อยากให้อาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่กำเริบ ก็ต้อง…

               - หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่พิสูจน์แล้วว่ามีผลต่อตนเองให้มากที่สุด

               - พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ

               - เครียดให้น้อยลง

               - บางคนอาจจำเป็นต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีตามที่อายุรแพทย์โรคภูมิแพ้แนะนำ


              ตรวจร่างกาย รู้ผลชัวร์กว่า          
              การวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด การสังเกตตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ ลักษณะสิ่งแวดล้อมจากการทำงาน การตรวจ ร่างกาย เช่น การตรวจภายในโพรงจมูก รวมทั้งอาจจะมีการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง การเจาะเลือด หรือการตรวจเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัยอื่น ๆ ที่แพทย์เห็นสมควร ดังนั้น อย่าด่วนสรุปด้วยตัวเอง


              มาทำความสะอาดจมูกกันเถอะ

              การสวนล้างจมูกไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและก็ไม่อันตราย แถมยังดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก เพราะเป็นการทำความสะอาดโพรงจมูกให้โล่งขึ้นนั่นเอง แต่คุณหมอสุรสฤษดิ์เตือนไว้ว่า หากล้างอย่างถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าล้างผิดวิธี สำลักเอาน้ำเกลือพร้อมกับสิ่งสกปรกในโพรงจมูกเข้าไปในปอดละก็ ไม่ใช่เรื่องจิ๊บ ๆ แน่นอน


               ล้างจมูกทำได้ง่ายมาก

               - ใช้กระบอกฉีดล้างจมูกขนาด 20 หรือ 50 ซี.ซี. ที่เตรียมไว้แล้วดูดน้ำเกลือ ซึ่งควรจะอุ่นสักนิดเพื่อลดอาการแสบจมูก

               - นั่งหรือยืนโน้มตัวไปข้างหน้า และเอียงหน้าเล็กน้อย

               - นำปลายกระบอกฉีดล้างจมูกใส่เข้าไปในจมูกข้างที่จะล้างหรือหากมีปลอกซิลิโคน (ถ้ามีก็จะล้างง่ายขึ้น) ต่อเข้าที่ปลายกระบอกฉีดได้ยิ่งดี โดยพยายามให้ขอบซิลิโคนแนบกับจมูก

               - กลั้นหายใจพร้อมกับดันกระบอกสูบของกระบอกฉีดล้างจมูกเบา ๆ ให้น้ำเกลือไหลเข้าไปในจมูกช้า ๆ หลังจากที่น้ำเกลือส่วนใหญ่ไหลออกมาจากจมูกอีกข้างและหรือปากแล้วให้หายใจตามปกติได้

               - ดันน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกทุกทิศทาง และล้างจนกว่าจะรู้สึกว่าจมูกโล่ง


                กันไว้ดีกว่าแก้

               - ระหว่างที่น้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกจะต้องกลั้นหายใจไว้ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการสำลักได้

               - หลังจากล้างเสร็จให้สั่งน้ำมูกหรือน้ำเกลือที่ค้างอยู่ในโพรงจมูก โดยสั่งเบา ๆ และสั่งออกทางจมูกพร้อม ๆ กันทั้งสองข้าง ไม่ควรเอานิ้วอุดรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทำให้ปวดหู เกิดแก้วหูทะลุ หรือเกิดโรคหูอักเสบได้





เทคนิคสุดเวิร์ก ปราบนิสัยขี้หลงขี้ลืม



    เทคนิคแก้นิสัยขี้ลืม (Womanplus)

               ทุกวันนี้กิจกรรมประจำวันเรามีมากขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะ แล้วยิ่งเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้น แน่นอนล่ะว่าเราจะใช้เหล่าสมาร์ทโฟนเป็นตัวช่วยจำในสิ่งต่าง ๆ เป็นผลให้ตอนนี้เรามักติดนิสัยขี้ลืมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ใครเป็นปัญหานี้กันอยู่บ้างคะ .. . วันนี้ W+ มีวิธีแก้นิสัยขี้ลืมมาบอกกันค่ะ
               จดบันทึกช่วยจำ

               การจดบันทึกในสมุดที่มีวันที่นั้น จะช่วยให้วางแผนเรื่องในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือน จดข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัน ๆ นั้นที่ต้องทำหรือมีความสำคัญ หรือแม้แต่ความรู้สึกนึกคิด คำคมต่าง ๆ การจดจะช่วยย้ำให้สมองจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้น

               หมั่นพูดกับตัวเอง

               ไม่ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันนั้น ก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนจะเริ่มกิจกรรมควรเปล่งเสียงออกมาเสมือนพูดกับตัวเอง "ฉันต้องไปซื้อของ แล้วขับรถไปรับแม่ พอตอนเย็นฉันมีนัดทานข้าวกับเพื่อน" ประมาณนี้ การพูดออกมาซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ กับตัวเองจะทำให้เราจำในสิ่งที่ต้องทำได้อีกทางหนึ่ง

               จัดระเบียบการเก็บข้าวของให้เป็นที่

               เปลี่ยนนิสัยการวางของแบบไม่เป็นระเบียบ ไม่ใช่ว่าจะวางอะไรก็วางได้เลย ยิ่งจะทำให้ลืมของเหล่านั้นง่ายขึ้น หันมากำหนดการวางของตัวเอง เช่น กุญแจรถวางไว้บนตู้โชว์ ส่วนนาฬิกาวางไว้บนตู้ข้างเตียง ยาประจำตัวก็ไว้ในกระเป๋าใบเล็กที่พกประจำ การจัดระเบียบการเก็บของแบบนี้จะทำให้ไม่ลืมว่าเราเก็บของอะไรไว้ที่ไหนบ้าง


               อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน

               ลำพังแค่การจำสิ่ง ๆ หนึ่งก็ยังจะชอบลืมเลย ไม่ต้องไปพูดถึงสำหรับอะไรที่ทำในเวลาเดียวกัน อย่างเช่น เปิดนิตยสารอ่าน พร้อมกับฟังดีเจคลื่นวิทยุ แล้วก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนไปด้วย นั่นจะยิ่งทำให้เราไม่มีสมาธิต่ออะไรเลยสักอย่าง แล้วก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลในหนังสือที่เราอ่าน ข่าวที่ดีเจเล่าให้ฟัง หรือแม้แต่เรื่องที่เพื่อนคุยกับเราก็ตาม

               ทำอะไรให้ช้าลง

               หากเราติดนิสัยทำอะไรเร็ว พูดเร็ว ก็จะยิ่งทำให้รายละเอียดของสิ่งเหล่านั้นเบาบางลงไป ยิ่งจะทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไม่ทัน หันมาทำให้ช้าลง ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ ทำ และใส่ใจในรายละเอียดของแต่ละสิ่งที่ทำ

                ทำสุขภาพกาย สุขภาพใจ ให้แข็งแรง

               ไม่ว่าจะตั้งแต่การดูแลตัวเองให้ดี ทานอาหารให้ครบหมู่ เน้นอาหารที่อุดมวิตามินซี อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี่ ผักสีเขียว ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายแข็งแรง ส่งผลให้ถึงสมองและจิตใจที่ดีตามไปด้วย นอกจากนั้นอาจจะหากิจกรรมบริหารสมองเสริมเข้าไป อย่างเช่น การเล่นเกมฝึกทักษะ การอ่านหนังสือ การเล่นดนตรี เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้สมองได้ออกกำลังด้วย

               ตั้งสติ-ทำสมาธิ

               สุดท้ายควรหมั่นฝึกนั่งทำสมาธิทุกวัน เพื่อกำหนดจิตใจเราให้นิ่ง ถือเป็นการฝึกสมาธิและช่วยให้การทำสิ่งต่าง ๆ ของเราชัดเจนและตั้งใจมากขึ้น ส่งผลให้เราจะสามารถจำในสิ่งเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น


23/5/57

ทำไมต้องเล่นโยคะ?

   
   สังเกตไหมคะว่า การทำโยคะเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่คนทำงาน แต่แม้จะมีความนิยม แต่หลายๆ คนก็ยังกังขาอยู่ดีว่า เราเล่นโยคะเพื่ออะไร ส่วนใหญ่จะคิดว่าลดความอ้วน บ้างก็ตามกระแส เล่นไปตามเทรนด์ จริงๆแล้วโยคะมีประโยชน์มากกว่านั้นค่ะ เรามาดูกันดีกว่าค่ะ โยคะมีประโยชน์อะไรบ้าง


   มาดูกันในเรื่องของร่างกายก่อนนะคะ การเล่นโยคะถ้าจะบอกว่าลดความอ้วน คงเป็นส่วนเสริมมากกว่า เพราะสิ่งที่จะได้เต็มๆ เลยคือ ร่างกายที่สมดุลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ เรื่องของการเผาผลาญ การขับถ่ายต่างๆ รวมไปถึงการทำงานของหัวใจก็มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น แล้วสิ่งที่จะได้ตามมาที่บอกว่าเป็นส่วนเสริมก็คือ รูปร่างจะกระชับ คือมันไม่ใช่การลดความอ้วนแบบฮวบฮาบเหมือนเราทานยาลดความอ้วนนะคะ แต่โยคะเมื่อเราฝึกเป็นประจำจะทำให้สรีระของเรากระชับขึ้น อันนี้ถือเป็นผลพลอยได้ที่ถือว่าดีมากๆสำหรับหญิงสาวอย่างเราๆ จริงไหมคะสาวๆ นอกจากประโยชน์ทางร่างกายแล้ว ประโยชน์ทางด้านจิตใจก็มีผลนะคะ เพราะโยคะจะช่วยให้เราได้ฝึกสมาธิไปในตัว เพราะแต่ละท่าจะทำอย่างเชื่องช้าและจะต้องมีสมาธิมากๆ เราจึงได้เรื่องของสมาธิด้วย แล้วก็ยังช่วยลดความเครียดที่อยู่ภายในจิตใจได้อีกด้วยค่ะ

ทีนี้สาวๆ คงจะไม่สงสัยกันแล้วใช่ไหมคะ ว่าทำไมคนถึงแห่แหนเล่นโยคะกันจัง

ขอขอบคุณChicMinistryผู้สนับสนุนเนื้อหา

วิธีการดูแลตัวเองให้ สวยเริ่ด เแบบ หญิงแย้ นนทพร



             สาวอารมณ์ดีที่มีรอยยิ้มให้เราเห็นเป็นประจำอย่าง หญิงแย้-นนทพร ธีระวัฒนสุข คือสาวที่ชอบเรื่องสวยๆ งามๆ จนมักจะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาแนะนำให้สาวๆ ได้ใช้ตามกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ (facebook.com/uunws) หรืออินสตาแกรม (@uunws) ที่มีผู้ติดตามอยู่หลายแสนคนจนอาจเรียกได้ว่า เธอคือเน็ตไอดอลแห่งปีที่มีผลงานให้ติดตามอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลงานละครและพิธีกรรายการที่กำลังไปได้สวย


สนใจเรื่องสวยๆ งามๆ ได้อย่างไร 
   เป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้วเพราะไม่ได้ตื่นมาแล้วสวยเลย ดังนั้นอะไรที่ทำเราสวยขึ้น ต้องลอง! ช่วงแรกจะลองสกินแคร์เยอะ เพราะความงามต้องเริ่มที่สภาพผิว ทำให้เราลองสกินแคร์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อผิว ซึ่งตอนนั้น เราไม่รู้ เพราะดูปลอดภัยทุกอย่าง แพ็กเกจจิ้งน่าเชื่อถือ ใช้ครั้งแรกแล้วเห็นผลเลย หน้าเด้งมาก เราก็เลยติดใจแล้ว ไปแนะนำคนอื่น เพราะอยากแชร์ความสวย แต่พอใช้สักพักมันเริ่มแย่ลง ถึงได้รู้ว่าสกินแคร์ตัวนั้นมีสารปรอทและสเตียรอยด์ กลายเป็นว่าเราต้องมานั่งรับผิดชอบใบหน้าทุกคนที่เชื่อในคำพูดของเรา เลยฝังใจว่าจะเลือกใช้หรือรีวิวอะไรต้องระวังไมว่าจะเป็นพวกสกินแคร์ อาหารเสริม หรือเมกอัพ ต้องดูให้ดีก่อน ว่าปลอดภัยจริงหรือเปล่า
ล่าสุดกับการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสกินแคร์จากเกาหลี
   ถ้าไม่รวมการถ่ายโฆษณาตอนเด็กๆ Mode'er ถือเป็นสกินแคร์แบรนด์แรกที่แย้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ ซึ่งจริงๆ แบรนด์นี้มีมา 2 ปีแล้ว พอมีโอกาสได้ใช้รู้สึกเลยว่ามันดีมาก และแปลกใจมากที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก จากนั้นก็เริ่มรีวิว
ผลิตภัณฑ์ให้เขา คนที่ใช้ตามทุกคนก็ชอบมาก คือมีหลายแบรนด์มาทาบทามให้แย้เป็น พรีเซ็นเตอร์ แต่ที่เลือกเป็น พรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์นี้อย่างเต็มตัวเพราะว่าเราใช้จริงๆ และชอบมากด้วย

 ของแย้
   การดูแลตัวเองจากภายในเป็นเรื่องที่ดี แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ของแย้บางทีก็ทำไม่ได้นะ จึงต้องอาศัยสกินแครเป็นตัวช่วย
เวลาแย้แต่งหน้าจะเริ่มจากการใช้สกินแคร์ ที่ทำให้ผิวหน้าของเรารับเมกอัพต่างๆ ได้ดี ตามดวยการใช้ซีซีครีมและรองพื้น ซึ่งแย้ใช้ของ Mode'er มาตลอด จากนั้นก็ลง แป้งฝุ่นได้เลย แย้มีคติว่าเวลาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ เราแค่เลือกสิ่งที่เหมาะกับผิวหน้าของเราก็พอ ไม่จำเป็ต้องแพง
   ส่วนเรื่องเมกอัพ ด้วยโครงหน้าของเรา ถ้าใช้สีแปลกๆ จะยากมาก แย้เลยทาอายแชโดว์สเอิร์ธโทนเป็นหลัก หลังๆ จะเน้นที่ขนตาว่าต้องเยอะและฟูเท่านั้น จนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว เวลาจะเปลี่ยนสไตล์การแต่งหน้าก็จะชอบอ่าน
   คอมเมนต์ที่เพื่อนๆ เขียนให้ในโซเซียลมีเดียของเรา ว่ามีคนเสนอแนะอะไรบ้างไหม หรือบางทีก็จะอาศัยการสังเกตเอาค่ะ ลองดูรูปดาราสวยๆ อย่างพี่พลอย-เฌอมาลย์ เอาสิบรูปมาเรียงกัน ดูว่ารูปไหนเขาสวยที่สุดเพราะอะไร แต่งหน้าทำผมยังไง แล้วเราก็ลองเอามาปรับแต่งของเราดู เปลี่ยนสไตล์ไปเรื่อยๆ สนุกดี แค่สุดท้ายก็จะเลือกเฉพาะแบบที่เข้ากับเราค่ะ


การแต่งหน้าสไตล์ไหนที่รู้สึกว่า ไม่เหมาะกับเราเลย
   การเขียนคิ้วหนาๆ ไม่เหมาะกับแย้ แย้ก็ไม่แต่ง บางช่วงที่เขาฮิตทาปากสีแปลกๆ กัน แย้ก็จะทาแล้วถ่ายรูปลงไอจีสนุกๆ แค่นั้น เพราะคิดว่าถ้าทำแล้วเราสวยน้อยลง ก็ไม่ทำดีกว่า หรือเวลาแต่งหน้าเนี้ยบๆ แบบที่ช่างแต่งให้น่ะ ไม่เหมาะเลย (หัวเราะ) เพราะเขาจะแต่งให้ตรงลักษณะความเป็นจริงของใบหน้าแย้ไงคะ แล้วเราไม่ได้สวยโดยกำเนิดก็เลยไม่ค่อยรอด ยอมรับว่าทุกวันนี้ที่แต่งเองเนี่ยแทบจะไม่มีของจริงเหลือเลย เพราะทั้งโครงคิ้วและรูปตาเราเปลี่ยนหมด
ข้อห้ามสำหรับความสวย
   คิดว่าการสูบบุหรี่ค่ะ เห็นเพื่อนๆบางคนที่สูบ ผิวจะไม่ค่อยสดใส ผิวจะโรยรากว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดเลย

ขอขอบคุณNylon Thailandผู้สนับสนุนเนื้อหา



22/5/57

อยากสุขภาพดี แฮปปี้เว่อร์ มาเลี้ยงสัตว์กันสิ


     สุขภาพดีได้ง่าย ๆ ด้วยการเลี้ยงสัตว์ ใครไม่เชื่อว่าแค่เลี้ยงน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ แล้วจะเพิ่มความสุข ฟิตสุขภาพให้คุณได้ รีบมาดูคำยืนยันทางการแพทย์กันเลย
                
              ว่ากันว่าความน่ารักของสัตว์เลี้ยงจะช่วยเยียวยาความทุกข์ใจ ไม่สบายกายให้เราได้ชะงัด ยิ่งถ้าได้ใช้เวลาคลุกคลีกับเจ้าสัตว์แสนรู้ก็จะยิ่งเพิ่มอณูความสุขให้เราได้มากขึ้น หรืออย่างน้อย ๆ ก็จะหลงลืมความทุกข์ใจไปได้ชั่วคราว และที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้นั่งเทียน เขียนกันลอย ๆ ด้วยนะคะ เพราะเรามีข้อมูลจากเว็บไซต์ Health มายืนยันให้เห็นกันเลยว่า 12 เหตุผลดี ๆ ต่อไปนี้นี่แหละ ที่ทำให้การเลี้ยงสัตว์​ช่วยฟิตสุขภาพให้เริ่ด เพิ่มความสุขเว่อร์​ๆ ให้คุณได้
     
    1. เลี้ยงน้องหมา ลดคอเรสเตอรอลได้ชิล ๆ
                
              มีงานวิจัย และผลการศึกษาถึง 2 สถาบันที่การันตีเป็นเสียงเดียวกันว่า แค่เลี้ยงสุนัข พาเขาไปเดินเล่น และเล่นกับเขาบ่อย ๆ แค่นี้ก็ช่วยปรับระดับคอเรสเตอรอลในร่างกายให้คุณได้อย่างชิล ๆ แถมยังส่งผลให้ระดับไตกลีเซอไรด์ในร่างกายลดลงด้วย
     
     2. แค่มองสัตว์เลี้ยง ก็คลายเครียดได้
                
              ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ใกล้ชิดสัตว์เลี้ยง หรือได้มองเห็นเขาเดิน เล่น ใช้ชีวิตตามปกติของตัวเอง หลายคนจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจขึ้นมาก ซึ่งแพทย์ก็ชี้แจงว่า การคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาท (Neurochemical) และออกซิโตซิน (Oxytocin) ออกมา ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นสุข เท่ากับช่วยลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) และฮอร์โมนความเครียดที่มีอยู่ลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการวิจัยแสดงให้เห็นอีกว่า การเล่นกับสัตว์เลี้ยง สามารถบรรเทาอาการโรคเครียดจากเหตุร้าย (PTSD = post-traumatic stress disorder) ได้อีกทางหนึ่งด้วย

     3. ลดความดันโลหิต
                
              มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนิวยอร์กทำการวิจัยแล้วพบว่า ในกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เลี้ยงน้องหมา หรือน้องแมวไว้ในความครอบครอง และลูบคลำเจ้าสี่ขาบ่อย ๆ มีแนวโน้มจะปรับระดับความดันโลหิตให้ต่ำลงจากเดิมได้เกือบครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยโรคเดียวกัน แต่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์
     
    4. ยิ่งเล่น ยิ่งฟิตเฟิร์ม
                
              แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย สโลแกนนี้ยังเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อค่ะ โดยเฉพาะคนที่เลี้ยงน้องหมา หรือน้องแมว และต้องพาจอมซนไปเดินเล่นบ่อย ๆ ผลวิจัยจากอเมริกาก็การันตีไว้เลยว่า Pet Lover เหล่านี้มีแนวโน้มได้ฟิตเฟิร์มร่างกายมากกว่าคนทั่วไปถึง 56% หรือเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็ได้ว่า คนที่เลี้ยงสัตว์​จะเดินราว ๆ 300 นาทีต่อสัปดาห์ ในขณะที่คนไม่ได้เลี้ยงสัตว์ จะมีอัตราการเดินเพียงแค่ 168 นาทีต่อสัปดาห์เท่านั้น ต่างกันไม่เบาเลยเนอะ

     5. ใช้เวลากับสัตว์เลี้ยง เท่ากับลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ
                
              การออกกำลังกายจะช่วยลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัยที่บอกว่า การเลี้ยงสัตว์จะช่วยเปิดโอกาสให้คุณได้ขยับร่างกายบ่อยขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปด้วยในตัว ดังนั้นเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหลายก็เฮได้เลยค่ะ เพราะเรามีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำลงแล้ว

     6. เสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
                
              การปล่อยให้สัตว์เลี้ยงคลุกคลีอยู่กับเด็กเล็ก เป็นเรื่องที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลอยู่ไม่น้อย ด้วยเกรงว่าน้องหมา น้องแมวจะเป็นต้นเหตุให้ลูกรักเป็นโรคภูมิแพ้ แต่จริง ๆ แล้วแพทย์ได้ชี้แจงว่า ช่วงอายุ 6 เดือนแรกของเด็กทารก จะเป็นช่วงที่เขาสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ดังนั้นการใกล้ชิดกับน้องหมา น้องแมวจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นห่วงนัก แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีในเรื่องสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ โรคผิวหนัง โรคไข้ละอองฟาง รวมทั้งโรคทางระบบหายใจอื่น ๆ แทนต่างหาก
     
     7. กำจัดความรู้สึกกดดันได้ชะงัด
                
              ปกติแล้วสัตว์เลี้ยงจะคุ้นเคย และค่อนข้างจงรักภักดีกับเจ้าของ การแสดงออกด้วยความไร้เดียงสาของน้องหมาน้องแมวเลยดูเข้าข้าง และรักเจ้าของมากกว่าบุคคลอื่น ๆ ซึ่งทางจิตวิยาก็ชี้แจงว่า ลักษณะท่าทางจงรักภักดีของสุนัข สามารถเยียวยาความรู้สึกกดดัน ไม่มั่นใจในตัวเอง และความรู้สึกลดคุณค่าของตัวเองในมนุษย์ได้ชะงัด อีกทั้งการแสดงความรักซึ่งกันและกันยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจให้ทั้งคน และสัตว์เลี้ยงไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ
     
     8. บรรเทาอาการเจ็บปวดเรื้อรังอย่างเห็นผล

              ยืนยันด้วยผลการวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งหนึ่งในอเมริกาที่พิสูจน์แล้วว่า ผู้ป่วยโรคข้อที่อยู่ในสภาวะพักฟื้นหลังการผ่าตัด จะมีอาการดีขึ้นเมื่อได้อยู่กับสัตว์เลี้ยง เนื่องจากความน่ารักของเหล่าสัตว์สี่ขา จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข หรือที่รู้จักกันดีในชื่อสารเอ็นดอร์ฟินออกมา ซึ่งเจ้าสารตัวนี้ก็มีฤทธิ์ไม่ต่างอะไรกับยาแก้ปวด ที่จะเข้าไปช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดในร่างกายได้อย่างเห็นผลโดยชัดเจน หรือแม้แต่กับคนที่เริ่มมีอาหารปวดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย แค่ใช้เวลาอยู่กับสัตว์เลี้ยงก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้เหมือนกันนะคะ

     9. เสริมบุคลิก และทักษะความสัมพันธ์
                
              ถึงจะประกาศตัวว่าเป็นทาสแมว หรือทาสน้องหมา แต่ยังไงเจ้าของสัตว์เลี้ยงก็มีอำนาจ และเป็นฝ่ายควบคุมจอมซนสี่ขาอยู่ดี และความได้เปรียบในข้อนี้ก็จะช่วยเสริมทักษะในการเป็นผู้นำ รวมทั้งเติมเต็มความกล้าพูดคุย กล้าแสดงออกให้คุณโดยทางอ้อมด้วย
     
     10. เป็นสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพ
                
              สุนัขจัดว่าเป็นสัตว์ที่ไวต่อกลิ่น และเสียงอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้นกับเจ้าของ สุนัขก็จะส่งสัญญาณด้วยท่าทางบางลักษณะ เป็นต้นว่า หากเจ้าของมีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัว และในขณะนั้นเกินภาวะน้ำตาลต่ำ หรืออยู่ในสภาวะกรดเกินเนื่องจากสารคีโตน น้องหมาก็จับกลิ่นลมหายใจที่ผิดปกติไปได้ และอาจจะมาวอแว หรือเลียเนื้อตัวเจ้าของอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจจะทำให้คุณฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า น่าจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายเราแน่ ๆ จนในที่สุดก็ต้องไปตรวจสอบกับแพทย์ให้แน่ใจ


     11. ความไร้เดียงสาก่อให้เกิดความสบายใจ
                
              อยู่กับสัตว์เลี้ยงบางทีก็รู้สึกสบายใจกว่าอยู่กับมนุษย์ด้วยกันเองว่าไหมคะ เพราะน้องหมาไม่มีการแบ่งแย่งชนชั้น ไม่แก่งแย่งแข่งกันเด่น ไม่พูดจาส่อเสียด ไม่ใส่หน้ากาก หรือว่าร้ายใคร แต่มีแค่ทีท่าไร้เดียงสา หน้าตาตลก ๆ กับตาใสแบ๊วที่คอยออดอ้อนคลอเคลียเราไม่ห่าง สร้างความสุขกาย สบายใจให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ยอมเป็นทาสแมว ทาสหมาอย่างเต็มใจยิ่งเลยทีเดียว
               
     12. เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว
                
              หลายคนตัดสินใจซื้อสัตว์มาเลี้ยงก็เพื่อแก้เหงา หรือไม่ก็อยากให้น้องหมา น้องแมวเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ซึ่งจริง ๆ แล้วประโยชน์ที่คุณได้รับจากสัตว์เลี้ยงยังมีเยอะกว่าที่ว่ามานี้ด้วยนะคะ โดยเฉพาะกับครอบครัวที่มีเด็กวัยกำลังซน หนู ๆ วัยกำลังเสริมทักษะต่าง ๆ ถ้าเขาได้เลี้ยงน้องหมา น้องแมวสักตัว เขาจะมีความเมตตามากขึ้น รู้จักการแบ่งปัน ช่วยให้เป็นเด็กร่าเริง และสอนให้เขารู้จักรับผิดชอบกับสิ่งมีชีวิตด้วยกันเองอีกด้วยค่ะ
     
              ใครที่อยากเลี้ยงสัตว์ แต่ยังลังเลในเรื่องต่าง ๆ อยู่ ได้เห็นข้อดีของการเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไปแล้ว ก็น่าจะตัดสินใจรับน้องหมา น้องแมวมาเลี้ยงได้สักทีแล้วเนอะ






7 วิธีดูแลตัวเองให้สวย โดยไม่ต้องพึ่งเมคอัพ


  เครื่องสำอางถือเป็นสิ่งที่สาว ๆ หลายคนขาดไม่ได้ เพราะเวลาจะออกไปข้างนอก ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องแต่งหน้าเพื่อเสริมความมั่นใจในทุก ๆ วันกันอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น บางครั้งผู้หญิงเราก็อยากมีวันสบาย ๆ ที่ไม่ต้องแต่งหน้าหรือแต่งตัวมากให้ยุ่งยากเช่นกัน

         อย่างไรก็ตาม สาว ๆ หลายคนกลับขาดความมั่นใจที่จะออกจากบ้านโดยไม่แต่งหน้า จนทำให้เราต้องคอยพึ่งเครื่องสำอางอยู่ตลอดเวลา แต่เชื่อเถอะว่า หากคุณรู้วิธีการดูแลตัวเองดี ๆ คุณก็ยังสามารถดูสวยใสโดยไม่ต้องแต่งหน้าได้แน่นอน ด้วยการทำตามวิธีดูแลตัวเอง 7 ข้อนี้

 1. พักผ่อนให้เพียงพอ

          สังเกตไหมว่าหากช่วงไหนที่คุณนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ช่วงนั้นผิวของคุณจะดูเปล่งปลั่งสดใสเป็นพิเศษ แถมรอยคล้ำใต้ตายังดูจางลงอีกด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะช่วงเวลานอนเป็นช่วงที่ร่างกายทำงานน้อยที่สุด และเป็นเวลาที่ร่างการผลิตเซลล์ผิวใหม่นั่นเอง จึงเป็นการพักผ่อนฟื้นฟูสภาพผิวของคุณไปในตัว ดังนั้นคุณจึงควรนอนหลับให้สนิทโดยปราศจากสิ่งรบกวนใด ๆ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงนะคะ

 2. น้ำเย็นช่วยคุณได้

          นอกจากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ๆ ในตอนเช้าจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นพร้อมรับวันใหม่มากขึ้นแล้ว การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นยังช่วยลดความบวมของหน้าในช่วงเพิ่งตื่นนอนได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดเย็น ๆ ทุกเช้าก่อนออกจากบ้านทุกวันนะคะ

      3. หมั่นดูแลผิวเป็นประจำ

          หากผิวพรรณของคุณดูเปล่งปลั่งสดใสอยู่เสมอ คุณก็จะสวยเด่น และเด็กกว่าอายุจริงได้อีกหลายปี โดยไม่ต้องพึ่งการแต่งหน้าอะไรเลย ทั้งนี้ เพื่อให้ผิวของคุณดูสวยใสอยู่ตลอดเวลา คุณควรดูแลตัวเองด้วยการขัดผิวเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และในส่วนของการดูแลบริเวณผิวหน้าแต่ละครั้งนั้น คุณควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยคลีนเซอร์ ก่อนจะนวดเบา ๆ ด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ผิวดูสดชื่นอยู่เสมอ


 4. ดื่มน้ำให้มาก ๆ

          การดื่มน้ำนั้นมีประโยชน์กับคุณมากมายหลายอย่าง เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมีผิวที่ดูสดใสขึ้นแล้ว ยังดีต่อสุขภาพเพราะเป็นการช่วยล้างพิษในร่างกายอีกด้วย ทั้งนี้ สาว ๆ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 9 แก้ว ในขณะที่หนุ่ม ๆ ควรดื่มวันละ 13 แก้ว ทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง

      5. ปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด

         ก่อนออกจากบ้านควรทาครีมกันแดดทุกครั้งไม่ว่าจะไปที่ไหน เพราะแสงแดดแรง ๆ นั้นส่งผลเสียกับผิวของคุณมากกว่าที่คิด เนื่องจากแดดแรง ๆ ที่สาดเข้ากระทบกับผิว จะทำให้ผิวคล้ำเสียไม่สม่ำเสมอ แถมยังทำให้ผิวดูแก่ก่อนวัยอีกด้วย เพราะฉะนั้น ควรทาครีมกันแดดเวลาออกจากบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น หากวันไหนที่แดดแรงจัด ก็ควรสวมแว่นกันแดดป้องกันอีกชั้นด้วย

      6. แต่งคิ้วให้สวยเด่น

          คิ้วของคุณมีผลกับรูปหน้ามาก ฉะนั้นถ้าอยากให้ใบหน้าดูโดดเด่นขึ้น ก็ควรจัดแต่ทรงคิ้วให้เข้ากับรูปหน้าของคุณ ด้วยการศึกษาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตหรือปรึกษากับช่างผู้เชี่ยวชาญตามร้านตกแต่งคิ้วดู อย่างไรก็ตาม นอกจากรูปทรงของคิ้วแล้ว สีของคิ้วนั้นก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้นควรย้อม หรือปัดสีคิ้วด้วยดินสอเขียนคิ้วให้เข้ากับสีผมของคุณด้วย

      7. อย่าปล่อยให้ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

         ผมที่ชี้ฟูพันกันจะทำให้คุณดูแก่และโทรมลง เพราะฉะนั้น ควรดูแลผมของตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ ด้วยการสระผมเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง เพื่อให้ผมของคุณดูนุ่มสลวยตลอดเวลา นอกจากนี้ ก็ควรจัดแต่งทรงผมของคุณให้ดูดี ด้วยการไดร์ผมให้เป็นทรง หรือเกล้าผมทำเป็นทรงสวย ๆ ต่าง ๆ ตามแต่โอกาสที่เหมาะสม


          หลังจากที่บำรุงผิวพรรณหน้าตาของคุณให้สวยแล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรูปร่างของตัวเองกันด้วยนะคะ เพื่อให้คุณได้กลายเป็นสาวสวยเต็มตัวที่ใคร ๆ ต้องหันมอง



12 เคล็ดลับดูแลตัวเองง่าย เพื่อสุขภาพที่ดี



1. หวีผมบ่อยๆ: 

หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรง เบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)


2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: 

ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี ขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง 

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: 

ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: 

การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว 

5. ขบฟันบ่อยๆ: 

ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. > ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: 

การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:
การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. > หมั่นขับของเสีย: 

หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: 

ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ: 

การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: 

การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: 

ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี

ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน

5 วิธีดูแลตัวเองของคนนอนดึก


    5 วิธีดูแลตัวเองของคนนอนดึก (247 free magazine)

              หลายคนที่นอนดึกเป็นประจำอาจจะตั้งกฎกับตัวเองว่า ต่อไปนี้ฉันจะนอนให้เร็วขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดี แต่ถ้าทำไมได้ล่ะ เราจะทำอย่างไรดี ปล่อยเลยตามเลยคงไม่ดีแน่
              อันที่จริงแล้ว การนอนดึกไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน เพราะการนอนของคนเราก็ไม่ต่างอะไรกับการชาร์จแบตฯ ให้ร่างกาย (ก็แหม...โทรศัพท์ยังต้องชาร์จไฟและคนเราจะไม่ชาร์จไฟให้ร่างกายบ้างเลยเหรอ) เราเลยมีวิธีการดูแลตัวเองสั้น ๆ ง่าย ๆ สำหรับคนที่ต้องนอนดึกเป็นประจำมาฝากกัน

    1. ง่วงก็นอนเลย

              ทันทีที่ร่างกายรู้สึกง่วง แต่อยากจะเล่นเฟซต่อ ขอร้องว่าอย่าฝืน แนะนำว่าให้นอนเลย ที่สำคัญควรจะนอนให้ได้อย่างน้อย 4 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน เพราะเป็นจำนวนเวลาที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างพอเหมาะ

    2. ออกกำลังกายเล็ก ๆ เมื่อตื่น
              
              บางคนตื่นปุ๊บหยิบมือถือมาเช็กเฟซบุ๊กก่อนเลย ใจเย็น ๆ ออกกำลังกายเบา ๆ กันก่อนไหม เหมือนวอร์มอัพร่างกายให้ตื่นตัว แต่อย่าถึงขั้นวิ่ง 100 เมตร หรือฟิตเนสจริงจัง แค่ลุกนั่งหรือวิดพื้นนิดหน่อยเป็นพอ แล้ววันนั้นทั้งวันคุณจะสดชื่นกว่าที่เคย

    3. กินอาหารที่มีประโยชน์

              ยิ่งนอนดึกยิ่งทำให้สมองล้า เรายิ่งต้องกินอาหารที่บำรุงสมอง อย่างอาหารที่มีโคลีน (Choline) ช่วยป้องกันความจำเสื่อม พบได้ง่ายในถั่วเหลือง ไข่แดง และเนื้อสีขาว เช่น เต้าหู้ เนื้อปลา อกไก่ และไข่ขาว ซึ่งช่วยสร้าง "เคมีสมอง" ที่จำเป็นสำหรับคนที่นอนดึก ส่วนไข่แดงมีไบโอติน (Biotin) ที่ช่วยบำรุงสมอง และกาบ้า (GABA) ที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี มีอยู่ในข้าวกล้องงอกและธัญพืช รวมถึงวิตามินบีที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองให้ตื่นตัว ที่สำคัญคือดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ เพราะการนอนดึกทำให้สมองขาดน้ำ ซึ่งสมองเป็นส่วนที่้ต้องการน้ำไปหล่อเลี้ยงมากที่สุด

    4. งดการแฟ

              สมมติว่างานไม่เสร็จ อย่าแก้ปัญหาด้วยการดื่มกาแฟ แต่ให้ดื่มดาร์กช็อกโกแลตหรือโกโก้แทน เพราะในโกโก้มี "ฟลาโวนอยด์" (Flavoniod) สารช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองด้ดี และไม่มีคาเฟอีน

    5. กินวิตามินแก้เครียด

              ยามเราอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) จะทำงานไม่ปกติ ทำให้เกิดความเครียดแบบลึก ๆ ต่อให้เป็นคนตลกแค่ไหน แต่ร่างกายมันก็เครียด จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบีและวิตามินซี ถ้าตื่นเช้ามากินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ ดื่มน้ำผลไม้คั้นสด ๆ ได้ทุกวันยิ่งดี

              ทั้ง 5 วิธีนี้คือการดูแลตัวเองง่าย ๆ ถ้าจำเป็นต้องนอนดึกจริง ๆ ทางที่ดีคือเราควรนอนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ปลอดโรคภัย และลดความเสื่อมของร่างกายจะได้แข็งแรงไปนาน


      Did you know?

                 น้ำตาลในเลือดสูงเพราะนอนน้อย : มหาวิทยาลัยชิคาโก และมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ได้ทำการวิจัยเรื่องเบาหวาน และพบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ระดับกลูโคสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 23% ขณะเดียวกัน ระดับอินซูลินก็ขึ้นสูงอย่างรวดเร็วถึง 48% ด้วย แต่ถ้านอนหลับอย่างเพียงพอก็จะลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้อย่างง่ายดาย

                 นอนน้อยเสี่ยงมะเร็งเต้านม : การวิจัยของมหาวิทยาลัย Tohoku ที่ญี่ปุ่น ได้เก็บข้อมูลจาก 24,000 คน พบว่า ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 40-79 ปี ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง มีโอกาส 62% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ขณะที่คนที่นอนมากกว่า 9 ชั่วโมง มีความเสี่ยงน้อยกว่าถึง 28%

                 รู้ไหมว่า ใบบัวบก มีสรรพคุณลดภาวะการอักเสบของร่างกายจากการนอนดึก วิธีที่ดีที่สุดคือ การเคี้ยวกินทั้งใบสด ๆ หรือปั่นผสมน้ำแล้วดื่ม

                 ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 60 ปีที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจถึง 2 เท่า

                 คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน เฉลี่ยแล้ว 47% มีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Facebook Themes