แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บริหารร่างกาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บริหารร่างกาย แสดงบทความทั้งหมด

30/5/57

5 วิธีเน้น ๆ น่องเรียวได้เห็น ๆ



    5 วิธีเน้น ๆ น่องเรียวได้เห็น ๆ  (emaginfo)

              จะปล่อยให้เรียวขาของเราต้องสร้างความอับอายเวลาเดินไปทางไหนที่มีแต่คนน่องเรียวสวยทั้งนั้น เวลาจะใส่กางเกงรัดรูปก็ดูดีไม่เหมือนขาโต๊ะสนุกอย่างเรา ไปได้อย่างไร

              สาว ๆ หลายคนต้องกำลังคิดจะลดน่องกันอยู่แน่ ๆ แต่ทว่า พวกน่องขาเอย ต้นขาเอย ต้นแขนเอย ก็ช่างลดยากเย็นเสียนี่

              หากลดน่องได้ เราจะได้มีความมั่นใจในเรียวขามากขึ้น เราจะได้กล้าใส่กางเกงเดฟอวดขาเรียวงาม เราจะได้กล้าใส่กระโปรงสั้นน่ารัก ๆ ออกงานได้ด้วย เรื่องกังวลใจเกี่ยวกับน่องที่ใหญ่เทอะทะหรือมีแต่ไขมันนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยค่ะ วันนี้เรามีทางออกด้วยวิธีลดน่องสบาย ๆ มาฝาก

              1. หาเวลาวิ่งซักหน่อย เพราะการวิ่งนี่แหละที่จะช่วยให้ขาและน่องของคุณดูเล็กลงได้ การวิ่ง ควรวิ่งลงเต็มเท้า ความเร็วพอประมาณ วิ่งให้นานที่สุด แต่ไม่ใช่วิ่งทั้งวันนะคะ เดี๋ยวเป็นลม การวิ่งระยะยาวนี่แหละที่จะช่วยลดทั้งขนาดของกล้ามเนื้อและไขมัน ไม่เฉพาะแต่ที่ขาของคุณเท่านั้นที่จะลด ส่วนอื่น ๆ ก็จะลดลงตามไปด้วย ขอเน้นว่า ควรวิ่งทางเรียบนะคะ เพราะการวิ่งขึ้นเขาหรือวิ่งบนลู่วิ่งแบบปรับความชัน จะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อขาใหญ่ขึ้นไปอีก

              2. ลดน่องใหญ่ ด้วยการยืดกล้ามเนื้อสักหน่อย ด้วยการเล่นโยคะหรือพิลาทิส จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่เป็นลูกๆบริเวณน่องดูเรียวลงได้ เพราะจะเป็นการเน้นฝึกแบบยืดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ รวมถึงกล้ามเนื้อน่องด้วย สำหรับท่าง่าย ๆ ก็เช่นท่าดันกำแพงด้วยการหันหน้าเข้ากำแพง แยกเท้าโดยให้เท้าข้างหนึ่งห่างจากกำแพงประมาณ 1 ฟุต ส่วนเท้าอีกข้างให้ห่างจากกำแพงประมาณ 3 ฟุต มือสองข้างยันกำแพง ขณะที่ออกแรงดันกำแพงขาข้างที่ยืดไปข้างหลังควรอยู่ในแนวเส้นตรง ส่วนขาที่อยู่ด้านหน้าให้งอเล็กน้อย แล้วออกแรงดันค้างไว้สัก 30 วินาที แล้วหยุดพักเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนข้างทำไปเรื่อย ๆ ถ้าทำถูกวิธีคุณจะรู้สึกตึง ๆ 

     
             บริเวณด้านหลังของขานอนหงายกับพื้น ชันเข่าขึ้นให้ชิดกัน ส่วนฝ่าเท้าให้วางราบกับพื้น มือทั้งสองข้างวางคว่ำฝ่ามือไว้ข้างกาย แล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาเตะอากาศข้างบนอย่างรวดเร็ว ข้างละประมาณ 10-20 ครั้ง แล้วทำสลับกันทีละข้างให้ได้ประมาณ 5-10 รอบ ยืนเอามือทั้งสองข้างเท้าเอว แยกเท้าทั้งสองข้างให้ห่างออกจากกันพอเสมอกับช่วงไหล่ แล้วเหวี่ยงเท้าข้างหนึ่งไปข้างกายทั้งขวาและซ้ายให้สุดทาง จนปลายเท้าเตะพื้น ทำสลับข้างละ 15 ครั้ง และทำซ้ำให้ได้ 5-10 รอบ ซึ่งเอวก็จะหมุนตามไปด้วยในลักษณะเป็นการวาดเท้าเป็นครึ่งวงกลม จะรู้สึกว่าขาและน่องที่เหวี่ยงจะเหยียดเกร็ง

              3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่เน้นการปีนป่าย เพราะกิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่ต้องการความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่องยิ่งไปออกมาก กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น

              4. ยืนอย่างถูกต้อง ตัวตรง ยืดอก ไม่หลังค่อม ดันไหล่ออกไปด้านหลังเล็กน้อย และไม่ยืนเขย่งปลายเท้าด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะช่วยให้น่องขาไม่ต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินไป ป้องกันน่องโตได้เหมือนกัน

              5. ข้อสำคัญ การลดน่องคุณควรทำพร้อม ๆ กับควบคุมอาหารเน้นไฟเบอร์ กินแป้งและโปรตีนน้อย ๆ โดยหลักการแล้วถ้าอยากลดน่องก็ต้องลดแบบทั้งตัวนั่นเอง

              ถ้าคุณอยากมีน่องที่เซ็กซี่สวยงาม อย่าเพิ่งท้อแท้ก่อนนะคะ วิธีลดน่องด้วยการวิ่งระยะไกล จะได้ผลอย่างแน่นอน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็ย่อมตามมาค่ะ

              จากหลายคำถามและความเข้าใจผิดว่า "วิ่งแล้วจะทำให้น่องใหญ่ขึ้น" ขอบอกไว้ตรงนี้ มันจะไม่ใหญ่ขึ้น แต่มันจะกระชับขึ้น ไม่ต้องห่วงว่ามันจะโตจนน่าเกลียดค่ะ



Fun Fact เคล็ดไม่ลับ ขยับออกกำลังกาย



    Fun Fact เคล็ดไม่ลับ-ขยับออกกำลังกาย

              การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยาก หากเราตั้งใจจริง แค่ขยับร่างกายเสียบ้าง ก็พอจะช่วยรักษาสมดุลของร่างกายได้แล้ว และถ้ายิ่งใช้เวลานานขึ้น ทำอย่างต่อเนื่อง จะได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายไปเต็ม ๆ วันนี้ ลองมาดูข้อเท็จจริงที่น่าสนใจและคำแนะนำเพื่อให้เราได้ออกกำลังกายกันเลย
              1. ออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 30 นาที (ไม่รวมอบอุ่นร่างกาย) สามารถช่วยรักษาสมดุลพลังงานในร่างกาย และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงได้ถึงร้อยละ 40 

              2. ออกกำลังกาย ช่วยลดน้ำหนักและประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริม และทำเองที่บ้านได้ง่าย ๆ แค่เพิ่มกิจกรรมทางกายเพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกไป เช่น ทำงานนานขึ้น ออกแรงเพิ่มขึ้น หรือทำกายบริหารสม่ำเสมอ หรือทำงานบ้านมากขึ้น

              3. โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง พบมากที่สุดในอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังจากพฤติกรรมขาดการออกกำลังกาย

              4. การขยับ ลุกขึ้น และยืดเส้นสาย ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง จะช่วยป้องกันอาการโรคออฟฟิศซินโดรมได้ ซึ่งพบมากที่สุดในกลุ่มคนวัยทำงาน มักเป็นปัญหาเกี่ยวกับการล้า ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ที่นั่งทำงานหรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน


               5. วางอุปกรณ์การออกกำลังกาย ในจุดที่พบเห็นบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายได้ เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เช่น เดินขึ้นบันไดแทนขึ้นลิฟต์ ปั่นจักรยานแทนนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 

               6. สมองก็ออกกำลังได้ การเปิดโอกาสให้หลาย ๆ ส่วนในสมองได้ทำงานร่วมกันสามารถทำได้หลายวิธี ทำให้เซลล์สมอง active ตื่นตัว เช่น การงดใช้เครื่องคิดเลขบ้าง การแปรงฟัน การใส่เสื้อ-กางเกงด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด การเปลี่ยนเส้นทางไปทำงาน ทำให้สารสื่อประสาทบางชนิดถูกกระตุ้นให้นำกลับมาใช้ (Use it or Loss it)

               7. ต้องเอาชนะอุปสรรคที่กีดขวางการออกกำลังกาย แม้ในคนพิการที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย แต่ใจสู้ สามารถออกกำลังกายได้ แถมมีสุขภาพที่ดีขึ้น เพียงแค่เลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม 

               8. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ถ้าออกกำลังกายหนักมากเกินไป จะเป็นการกระตุ้นฮอร์โมนอื่นที่ทำงานต่อต้านอินซูลิน คนที่เป็นเบาหวานควรออกกำลังกายแบบต่อเนื่องยาวนาน (ไม่ใช่การเล่นยกน้ำหนัก) จะส่งผลดีชัดเจน ในผู้ที่เป็นเบาหวานแบบที่ 2

               9. การเดินและ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิคในน้ำหรือบนบก 5-7 วัน ต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มสมรรถนะของระบบหัวใจและหลอดเลือด และสามารถลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
     
              สนับสนุนข้อมูลจากโครงการ Exercise is Medicine in Thailand โดยวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การกีฬา ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย สมาคมวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งประเทศไทย และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย




29/5/57

ง่ายจริงนะ ! สารพัดวิธี เบิร์น 100 กิโลแคลอรี่ แค่ไม่ถึงชั่วโมง



              หากคุณเป็นคนขี้เกียจออกกำลังกายอยู่เป็นทุนเดิม (ซึ่งไม่ดีนะจ๊ะ) ไม่อยากออกกำลังหนัก ๆ แต่ก็ไม่อยากสะสมแคลอรี่ไว้ในร่างกายมากเกินไป เพราะกลัวความอ้วนและโรคร้ายจะถามหา ก็ลองเริ่มต้นด้วยการกำจัดสัก 100 กิโลแคลอรี่ต่อวันกันดูก่อน 

               ขอบอกว่าแค่ทำกิจกรรมระหว่างวันแบบเพลิน ๆ เบา ๆ ไม่ต้องไปเข้าคอร์สฟิตเนสที่ไหน 100 แคลอรี่ก็หายไปได้ในพริบตาแล้วล่ะ ด้วยสารพัดวิธีที่กระปุกดอทคอมรวบรวมจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมาฝาก โดยกิจกรรมข้างล่างนี้คำนวณจากผู้ที่มีน้ำหนัก 150 ปอนด์ หรือราว 60 กิโลกรัมนะจ๊ะ


      ถ้ามีเวลาไม่เกิน 15 นาที

                 ถ้าคุณมีเวลาไม่มาก แต่อยากเบิร์นสัก 100 กิโลแคลอรี่ ก็ลองเลือกสักกิจกรรมต่อไปนี้เป็นตัวช่วยของคุณดูค่ะ

                  - วิ่งจ็อกกิ่ง วิ่งเหยาะ ๆ 10 นาที  

                  - วิดพื้น 10 นาที

                  - กระโดดเชือกช้า ๆ 10 นาที

                  - เดินในน้ำ 10 นาที

                  - เล่นฟุตบอล 15 นาที

                  - ปั่นเครื่องปั่นจักรยาน 15 นาที

                  - เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ 15 นาที แต่ถ้านึกสนุกจะลองเปลี่ยนจากเดินเป็น "วิ่ง" ก็เข้าท่า ใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีเท่านั้น ก็กำจัดได้แล้ว 100 กิโลแคลอรี่

                  - ชกกระสอบทราย 15 นาที

                  - ยกเวทแบบเร็ว ๆ 15 นาที หรือถ้ายกเร็ว ๆ ไม่ไหว ยกแบบธรรมดา ๆ ก็ได้ แต่ขอเพิ่มเวลาเป็น 33 นาที

                  - อบซาวน่า 15 นาที

                  - เล่นเทนนิส (คนเดียว) 15 นาที 


    ถ้ามีเวลาไม่เกิน 20 นาที

               ในเวลา 20 นาที กิจกรรมเหล่านี้ก็ช่วยให้คุณเบิร์นแคลอรี่ออกไปได้เหมือนกัน ลองเลือกดูว่าข้อไหนเหมาะกับเรา

               - เดินด้วยความเร็ว 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

               - เล่นโยคะ 

               - เปิดเพลงโปรดแล้วแดนซ์ไปรอบ ๆ บ้าน 

               - ปลูกต้นไม้ ขุดดิน พรวนดิน   
     
               - ล้างรถ ลงแว็กซ์  
     
               - ชู้ตบาสลงห่วง 

               - ว่ายน้ำในลู่  

               - เล่นแบดมินตัน 

               - ดำน้ำสน็อกเกิล  



    ถ้ามีเวลาไม่เกิน 25 นาที

               เพิ่มเวลาขึ้นมาหน่อย แต่ก็ทำให้คุณสามารถเลือกกิจกรรมง่าย ๆ ต่อไปนี้ มาขจัดพลังงานส่วนเกินในร่างกายอีก 100 กิโลแคลอรี่ ได้แบบชิล ๆ เลยล่ะ

               - ฝึกไทชิ หรือมวยไทเก๊ก 

               - เล่นปิงปอง 

               - นั่งเรือถีบในสวนสาธารณะ 

               - ขี่ม้า 

               - เต้นแอโรบิกในน้ำ  

               - ฝึกพิลาทีส 

               - อาบน้ำให้น้องหมา  
     
               - ดูดฝุ่นในบ้าน 

               - นวดให้คนอื่น 


    ถ้ามีเวลาไม่เกิน 30 นาที

               ขอเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงต่อวัน ยังมีกิจกรรมสนุก ๆ ช่วยเบิร์น 100 กิโลแคลอรี่ให้คุณอีกเพียบเลย

               - จูงสุนัขไปเดินเล่น 

               - เล่นวอลเลย์บอล 

               - เข็นรถเข็นเด็กแล้วเดินไปเรื่อย ๆ  

               - เช็ดถูปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน 

               - ฝึกพัตต์กอล์ฟในบ้าน 

               - เล่นโบว์ลิ่ง  


    ถ้ามีเวลาเกิน 30 นาที

               หลาย ๆ กิจกรรมสามารถช่วยเบิร์นแคลอรี่ให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่อาจต้องใช้เวลามากหน่อยเท่านั้น อย่างเช่นตัวเลือกเหล่านี้ก็น่าสนใจทีเดียว

               - ทาสีบ้าน 33 นาที

               - เล่นบิลเลียด ได้ทั้งก้ม ทั้งเงย ทั้งเดินวนรอบโต๊ะ แค่ 35 นาที

               - เดินช้อปปิ้ง 38 นาที

               - หัวเราะ 38 นาที ถ้าคิดว่าคงนั่งหัวเราะนานขนาดนั้นไม่ได้ >< ก็ให้หาวิดีโอหนังตลก หรือรายการสนุก ๆ มาดูซะ รับรองว่าหัวเราะกระจาย

               - รีดผ้า 40 นาที

               - เช็ดหน้าต่าง เช็ดกระจก 40 นาที

               - เล่นเปียโน 40 นาที 

               - ทำอาหารทานเอง แล้วเก็บล้างด้วย 45 นาที

               - ร้องเพลงดัง ๆ 50 นาที
     

               ทีนี้จะมาอ้างว่าไม่มีเวลาไม่ได้แล้วนะจ๊ะ เพราะบางกิจกรรมสามารถทำได้ง่าย ๆ ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว ก็ช่วยเบิร์นแคลอรี่ออกไปได้แล้ว 100 กิโลแคลอรี่ แต่ถ้าจะให้ดีลองเลือกทำสักกิจกรรม แล้วขยายเวลาเพิ่มขึ้นหน่อย หรือจะเลือกทำหลาย ๆ กิจกรรมก็ได้ จะได้กำจัดพลังงานส่วนเกินออกให้หมด งานนี้หุ่นผอม ๆ อันเป็นที่ปรารถนาก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะ
     

    Note ! 

               บางคนอาจจะคำนวณไม่ถูกว่า 100 กิโลแคลอรี่นั้นแค่ไหนกัน งั้นลองมาเทียบกับพลังงานจากอาหารที่เราทานเข้าไปกันดีกว่า ซึ่งพลังงาน 100 กิโลแคลอรี่ จะเท่ากับประมาณโดนัท 1 ชิ้น หรือ นมรสจืด 2 แก้ว หรือ ไก่ทอด 1 ชิ้น หรือ ทองหยิบ 1 ชิ้น หรือ ขนมครก 2 ฝา เทียบเป็นปริมาณอาหารก็นิดเดียวเองเห็นมะนั่นแสดงว่าถ้าคุณทานอาหารเข้าไปมาก ๆ หรือทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ ก็ต้องเบิร์นออกอีกเยอะเลยเนอะ 

               จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ผู้ชายที่อายุระหว่าง 13-18 ปี ควรได้รับพลังงานวันละ 2,100-2,300 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้ญิงในวัยเดียวกัน ควรได้รับพลังงานวันละ 1,800-1,850 กิโลแคลอรี่ แต่หากเป็นวัยทำงาน อายุระหว่าง 19-50 ปี ผู้ชาย ควรได้รับพลังงานวันละ 2,100-2,150 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิง ควรได้รับพลังงานวันละ 1,750 กิโลแคลอรี่ 

               นั่นหมายความว่า ถ้าเราทานอาหารในแต่ละวันมากเกินพลังงานที่ร่างกายต้องการแล้วล่ะก็ ส่วนเกินนี่แหละค่ะที่จะทำให้เราอ้วน ดังนั้นต้องหาวิธีง่าย ๆ อย่างข้างบนมาเบิร์นแคลอรี่ออกไปบ้าง ร่วมกับเพลา ๆ การทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ แค่นี้ก็โบกมือลาความอ้วนได้แล้วนะ





26/5/57

7 เคล็ดลับสุดเวิร์ก ออกกำลังกายให้สนุกในฤดูร้อน



    7 Summer Tricks ออกกำลังกายสนุกในฤดูร้อน (ชีวจิต)
    เรื่อง กาญจนา พันธรักษ์ 

              ข้อดีของการออกกำลังกายในฤดูร้อนคือ ทำให้ร่างกายตื่นตัว เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ยืดขยายเร็วกว่าในฤดูอื่น ๆ ซึ่งช่วยลดอาการบาดเจ็บได้
              ฤดูร้อนมาพร้อมกับความร้อนและแสงแดด ประเภทของการออกกำลังกายหรือชนิดกีฬาที่ต้องระวัง คือจำพวกที่อยู่กลางแจ้ง เช่น เทนนิส กอล์ฟ ฟุตบอล วิ่งมาราธอน เป็นต้น หรือการออกกำลังกายที่ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เช่น วอลเลย์บอล บาสเกตบอล แบดมินตัน ตะกร้อ เป็นต้น เพราะการออกกำลังกายด้วยวิธีเหล่านี้เสี่ยงเกิดอันตรายจากการที่ความร้อนในร่างกายสูงขึ้น

              คุณกาญจนา พันธรักษ์ หรือครูกาญจน์ อดีตนักกรีฑาทีมชาติชุดซีเกมส์ถึงสองสมัยมีประสบการณ์อยู่ในวงการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายตลอดมา ทั้งฟิตเนสและโยคะ ปักษ์นี้นำเทคนิคการออกกำลังกายในฤดูร้อนมาฝาก

              เนื่องจากสภาพอากาศในฤดูร้อนมีความร้อนชื้นสูง ทำให้ร่างกายถ่ายเทความร้อนออกสู่ภายนอกไม่ทันอุณหภูมิร่างกายจึงสูงขึ้น อาจส่งผลให้มาอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ควรระวังให้มาก
              หลายคนคิดว่าตัวเองแข็งแรง ไม่มีความเสี่ยงแถมไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีเลย จึงไม่ได้สังเกตร่างกายตัวเองเวลาออกกำลังกาย

              จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่อยู่ในแวดวงการออกกำลังกายพบว่า คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อาจหักโหมมากเกินไปหรือไม่ฟังเสียงร่างกายตนเอง ถูกหามตัวส่งเข้าโรงพยาบาลมานักต่อนักแล้ว


              
    การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรทำควบคู่ไปกับการรู้จักประเมินร่างกายตัวเองด้วย ซึ่งโรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายที่หนักเกินไปในฤดูร้อนมีดังนี้

                
    1. ภาวะขาดน้ำ
     

              ในฤดูร้อนร่างกายต้องเสียเหงื่อมากกว่าปกติ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้คือผู้ที่ออกกำลังกายหนักมาก เช่น วิ่งมาราธอน ขี่จักรยาน ไตรกีฬา หรือการออกกำลังกายชนิดที่ต้องทำต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เพราะยิ่งออกกำลังกายนาน ร่างกายจะมีโอกาสขาดน้ำได้ง่าย

               อาการ คือ ปวดศีรษะ กระหายน้ำ ปากแห้ง ความดันโลหิตต่ำ มีรอยคล้ำใต้ดวงตา เป็นตะคริว

               คำแนะนำ ควรจิบน้ำบ่อย ๆ หรือดื่มน้ำหวาน เพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

                
    2. ความดันโลหิตสูง
     

              หากมีความดันโลหิตสูงมากอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น หรือหลอดเลือดสมองแตก ทำให้เสียชีวิตได้

               อาการ คือ คลื่นไส้ อาเจียน แขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง พูดไม่ชัดหรือพูดไมได้ หมดสติ โดยอาการจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน

               คำแนะนำ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกลางแจ้งในเวลากลางวัน หรือใส่อุปกรณ์ซึ่งสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อช่วยเตือนหากออกกำลังกายหนักเกินจากอัตราการเต้นของหัวใจที่เราตั้งค่าไว้ ซึ่งปัจจุบันอุปกรณ์ดังกล่าวมีหลากหลายรูปแบบและใช้งานง่าย

                
    3. โรคฮีทสโตรก (Heat Stroke)
     

              หรือลมแดดชนิดไม่มีเหงื่อออก เป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ นอกจากนี้แล้วยังมีหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่อดนอน ดื่มเหล้าจัด และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

               อาการ คือ ตัวร้อนขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน แต่เหงื่อไม่ออก ส่วนอาการอื่น ๆ คือ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และอาจรุนแรงถึงขั้นเพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว ไตวาย เซลล์ตับตาย จนเสียชีวิตได้

      การออกกำลังกายในฤดูร้อนมีข้อควรปฏิบัติโดยทั่วไปดังนี้

                 1. ไม่ควรอดนอน ดื่มแอลกอฮอล์ ชา หรือ กาแฟ ก่อนออกกำลังกาย

                 2. ควรเช็กความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจก่อนออกกำลังกาย

                 3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักติดต่อกันเป็นเวลานานในช่วงที่อากาศร้อนจัด

                 4. กินอาหารที่ให้พลังงาน เช่น แป้งและอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตก่อนออกกำลังกายหนักอย่างน้อย

                 5. ดื่มน้ำเล็กน้อยก่อนออกกำลังกาย หากรู้สึกกระหายขณะออกกำลังกายให้จิบน้ำ ถึงแม้ไม่รู้สึกกระหายก็ควรจิบเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ไม่ควรฝืนร่างกาย

                 6. สวมเสื้อผ้าสีอ่อนที่ใส่สบาย โดยเลือกเนื้อผ้าที่มีการระบายอากาศและซึมซับเหงื่อได้ดี และสวมหมวก หากอออกกำลังกายกลางแจ้ง

                 7. ชนิดของกีฬาที่แนะนำ คือ ว่ายน้ำ หรือการออกกำลังกายในห้องปรับอากาศ เช่น ปิงปอง วิ่งบนสายพาน ปั่นจักรยานบนเครื่องปั่น ฟิตเนส โยคะ พิลาทีส เป็นต้น

                การออกกำลังกายมีประโยชน์มหาศาล หากเราศึกษาและเลือกประเภทกีฬาให้เหมาะสมกับตัวเรา และควรรู้จักฟังเสียงร่างกายตัวเอง (อาการต่าง ๆ ที่นำไปสู่ความสุข หรืออาการที่นำไปสู่การบาดเจ็บ) หากร่างกายส่งสัญญาณที่เป็นลบควรหยุดทันที

                ขอให้สนุกกับการออกกำลังกายนะคะ


เดิน-วิ่ง ฝึกจิต ฝึกกาย ให้ไปพร้อมกัน



    เดิน-วิ่ง ให้กายกับใจไปพร้อมกัน (สสส.)
    เรื่องโดย : ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th

              ในระยะ 2-3 ปีมานี้ ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจการออกกำลังกายด้วยการ "เดิน-วิ่ง" กันมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาว ตลอดจนวัยทำงาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีนักวิ่งหน้าใหม่เข้าร่วมกิจกรรมเดินวิ่งที่จัดขึ้นตามสถานที่และวาระโอกาสต่าง ๆ อย่างมากหน้าหลายตา 

              อย่างเช่นกิจกรรมการเดิน-วิ่งสมาธิ ที่จัดขึ้นในวันวิสาขบูชา เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2557 ก็มีผู้สมัครเข้าร่วมงานฯ ผ่านระบบออนไลน์กว่า 7,000 คน ซึ่งหลายคนให้ความสนใจตรงกันว่า การออกกำลังกายด้วยการเดิน-วิ่งนั้น เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิอย่างไร?
              
              "การเดิน-วิ่งสมาธิ ก็คือ การเคลื่อนไหวร่างกายในขณะที่จิตนิ่งสงบ มีการควบคุมการหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอไปพร้อมกับการเดินหรือวิ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นการฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงไปพร้อม ๆ กันแล้ว การเดินวิ่งด้วยใจที่เป็นสมาธิอาจจะทำให้เหนื่อยน้อยลงด้วย" พจน์ เพิ่มพรพิพัฒน์ ประธานสมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย ให้คำนิยาม
              
              สำหรับประโยชน์ของการเดิน-วิ่งสมาธิ โค้ชนักวิ่ง อดีตนักกีฬาทีมชาติไทย "ครูดิน สถาวร จันทร์ผ่องศรี" เพิ่มเติมว่า การเดินวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือการวิ่งเพื่อแข่งขันเองก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะต่าง ๆ รวมไปถึงจิตใจ เมื่อทุกส่วนทำงานอย่างสอดคล้องสัมพันธ์กัน นอกจากจะลดการกระแทก ป้องกันการบาดเจ็บได้แล้ว ยังส่งผลให้การวิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน


     นอกจากนี้ครูดินยังแนะนำ "เทคนิคการเคลื่อนไหวร่างกายง่าย ๆ ในการเดินวิ่งให้ถูกวิธี"...ดังนี้
              

               เริ่มต้นที่ ลำตัว ต้องตั้งเป็นแกนตรง สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น ไม่ลงน้ำหนักหลายจุดในเวลาเดียวกัน
              
               ขา การก้าวขาต้องงอเข่าเล็กน้อย ไม่มีการเหยียดตรง ลักษณะที่จะพุ่งตัวไปข้างหน้าให้ใช้น้ำหนักตัวพาไป อย่าใช้แรงขาทั้งหมด ลำตัวเอนไปข้างหน้า ถ่ายน้ำหนักลงสู่พื้น เปลี่ยนจุดศูนย์กลางไว้ตรงหน้าเท้าประมานฝ่ามือ ให้เหมาะสมกับโครงสร้างของร่างกาย ดึงศอกไปข้างหลังเล็กน้อย
              
               แขน แกว่งแขวนขนานกับลำตัว ขึ้น 80 องศา ลง 100 องศา โดยการยกแขนจะสัมพันธ์กับขา เพราะฉะนั้นไม่มีความจำเป็นต้องยกแขนสูง เพราะเข่าจะยกสูงตาม หรือถ้าแกว่งแขนยาว ขาจะก้าวยาว ซึ่งทำให้ใช้พลังงานมากเกินไป
              
               หัวไหล่ ไม่ยกสูง ลดการเกร็ง เพราะอาจปวดหลัง ปวดสะบักได้ การใช้หัวไหล่เป็นจุดหมุน โดยปล่อยตามธรรมชาติ คล้ายกับการเดินตามปกติ
              
               คอ มองไปข้างหน้าแค่ 30 - 40 เมตรเท่านั้น การมองไกลทำให้เราเกร็งกล้ามเนื้อคอ เส้นเลือดที่เลี้ยงสมองเลือดจะไหลเวียนไม่สะดวก การมองในระยะใกล้จะรู้สึกผ่อนคลาย ที่สำคัญลำตัวตั้งตรงไม่บิดไปมา
              
              ครูดินยังบอกว่า การวิ่งระยะไกลจะแตกต่างจากการเดินวิ่งระยะสั้น เพราะต้องใช้พลังงานที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ต้องใช้พลังงานให้น้อยที่สุด การรับประทานอาหารก่อนการออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ละเลยไม่ได้เช่นเดียวกัน
              
              สำหรับการรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกาย ครูดินมีคำแนะนำดังนี้
              
               อาหารมื้อหนัก ต้องรับประทานก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ชั่วโมงหรือหากเป็นอาหารมื้อเบา ๆ หรืออาหารที่ย่อยง่ายอย่างน้อย 1 ชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
             
               ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 2 แก้วก่อนออกกำลังกายก่อนครึ่งชั่วโมง และระหว่างออกกำลังกายสามารถจิบน้ำได้ แต่ห้ามใช้วิธีการยกดื่ม เพราะอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียด หรือลำลักได้
              
               ในการวิ่งระยะไกล ควรรับประทานอาหารหรือของว่างที่ให้พลังงานก่อนวิ่งทุกครั้ง เช่น ขนมปัง กล้วย น้ำเปล่า ผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่ไม่เกิดกรดในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
             
                ที่สำคัญห้ามออกกำลังกายทันทีหลังรับประทานอาหาร เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายตามมาได้
              
              ได้เรียนรู้เทคนิคการเตรียมความพร้อมง่าย ๆ ก่อนออกกำลังกายด้วยการเดินวิ่งกันแล้ว อย่าลืมหมั่นฝึกซ้อมและเคลื่อนไหวร่างกายให้ถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะทำให้มีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังส่งผลให้ห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียว ได้นกมาหลายตัวเลยละค่ะ

23/5/57

หุ่นสวยด้วยมวยไทย เฟิร์มไวแค่ 10 ครั้ง !



    หุ่นสวยด้วยมวยไทย เฟิร์มไวแค่ 10 ครั้ง ! (Lisa)

              อาจจะดูเป็นกีฬาแรง ๆ สำหรับคนแมน ๆ เขาเล่นกัน แต่ลองมาออกหมัด เท้า เข่า ศอกดูก่อน แล้วคุณจะรู้ว่า "มวยไทย" เหมาะกับผู้หญิงมากกว่าที่คุณคิด
              เคยสงสัยไหมว่าทำไมเดี๋ยวนี้ดาราสาวหุ่นสวยหน้าใสต่างก็หันมาฝึกกีฬาที่ดูโหด ๆ อย่างมวยไทยกันเป็นแถว ทั้ง เทย่า โรเจอร์ส, เจี๊ยบ โสภิตนภา, แป้ง อรจิรา, เชียร์ ทิฆัมพร และอีกหลาย ๆ คน กีฬาชนิดนี้มีดีอะไรกันนะ?


     ฟิตแอนด์เฟิร์ม 10 ครั้งก็เห็นผล

              การฝึกมวยไทยจะช่วยให้คุณได้ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนอย่างเต็มที่ จึงเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดี ทั้งเบิร์นไขมันสะสม และก็เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน แค่ครั้งละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง สัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพียงแค่ 10 ครั้ง ก็จะเฟิร์มขึ้นจนรู้สึกได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงเลยทีเดียว

              นอกจากนี้ เวลาที่คุณออกแรงเตะ ต่อย ครูฝึกจะสอนให้เปล่งเสียงออกมาเต็มที่ ซึ่งตรงนี้นอกจากจะช่วยเรื่องระบบการหายใจแล้ว ยังจะทำให้คุณได้ปลดปล่อยความเครียดด้วย


     ต้องเล่นเอาท์ดอร์เท่านั้น

              ถึงแม้คุณจะไม่ได้ต้องการไปชกมวยแบบจริงจัง แค่อยากจะใช้เป็นวิธีการเฟิร์มหุ่นเท่านั้น ก็ไม่มีทางที่คุณจะมาฝึกในห้องแอร์ชิล ๆ 

              ครูดาม ศรีจันทร์ เจ้าของโรงเรียนสอนมวยไทยครูดาม บอกว่า แม้เมืองไทยจะเป็นเมืองร้อน แต่สถานที่ที่เหมาะกับการฝึกมวยที่สุดก็คือ เอาท์ดอร์ร้อน ๆ นี่แหละ ทั้งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และฝึกความอดทนไปพร้อม ๆ กัน

              "การฝึกมวยนอกห้องแอร์แบบนี้จะทำให้คุณได้อยู่กับธรรมชาติ การหายใจก็จะดีกว่าอยู่ในห้อง แล้วพอฝึกไปสักพักก็ชิน รับมือกับสภาพอากาศได้ดีขึ้น และหลังฝึกก็จะสดชื่นขึ้นด้วย" ครูดาม กล่าว


     สวยดุ...ป้องกันตัวได้

              ต้องเข้าใจกันก่อนว่าการฝึกมวยไทยที่เราพูดถึงนี้ก็คือการฝึกชก เตะ และท่าทางต่าง ๆ ของมวยมาประยุกต์เป็นท่าออกกำลังกายเฉย ๆ ดังนั้น นอกจากคุณจะได้เบิร์นแล้ว คุณยังได้ฝีไม้ลายมือในการป้องกันตัวติดไปด้วย โดยในคลาสแรก ๆ ที่มาเรียน 

              ครูฝึกจะสอนพื้นฐานตั้งแต่การยืน เดิน ไปจนถึงการใช้หมัด เท้า เข่า ศอก แบบครบสูตร จากนั้นก็จะได้ฝึกกับเป้าและกระสอบทราย และเมื่อคุณคุ้นชินกับท่าทางต่าง ๆ แล้ว ก็จะมีการสอนให้ว่าหากอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ปลอดภัยจะมีวิธีการป้องกันตัวอย่างไรได้บ้างด้วย ถือเป็นผลพลอยได้ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้หญิงเราเลยทีเดียว


     Q&A กับครูดาม ศรีจันทร์

              Q : ฝึกมวยไทยแล้วกล้ามจะขึ้นไหมคะ?

              A: ไม่เลย เรามาฝึกเพื่อออกกำลังกายเท่านั้น ไม่ได้จะมาเพิ่มกล้ามจริงจัง แล้วผู้หญิงกล้ามขึ้นยากกว่าผู้ชายด้วย ดังนั้น ไม่ต้องกลัวเลย

              Q : มีเตะต่อยแบบนี้ ฝึกแล้วจะเจ็บไหมคะ?

              A : หลังฝึกอาจเจ็บกล้ามเนื้อเหมือนการออกกำลังกายทั่วไป แต่เรื่องเจ็บตัวนั้นไม่มีแน่นอน ในการฝึกจะไม่ได้ให้ชกกันเองอยู่แล้ว เพราะเราไม่ได้มาฝึกกันเพื่อขึ้นชกแบบพวกมืออาชีพ ส่วนเป้าและกระสอบทรายที่ใช้ในการฝึกของผู้หญิง เราจะทำมาเป็นพิเศษ ให้นิ่มกว่าที่พวกมืออาชีพเขาใช้กัน เพื่อช่วยเซฟการบาดเจ็บในทุกทางอยู่แล้ว วางใจได้เลย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก


ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด




    ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด (คู่หูเดินทาง)

              การออกกำลังให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น นอกจากความชอบในกิจกรรมกีฬานั้น ๆ สภาพร่างกายที่เอื้ออำนวยแล้ว กรุ๊ปเลือดก็มีความสัมพันธ์กับการออกกำลังกายด้วย ลองมาดูกันว่า คุณมีกรุ๊ปเลือดอะไร และควรออกกำลังกายแบบไหนถึงจะเหมาะสม

                 เลือดกรุ๊ปเอ

              แนะให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ ไม่ใช้แรงมาก อย่าง โยคะ ไทเก๊ก ชี่กง เพราะมีโครงกระดูกเล็ก หักง่าย ส่วนอาหารที่เหมาะสมของคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ อาหารประเภทมังสวิรัติ หรือรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย

                 เลือดกรุ๊ปบี

              ที่รับประทานอาหารทั้งผัก ทั้งเนื้อสัตว์ได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน จึงมีความว่องไวให้ออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่หักโหมหรือเชื่องช้าเกินไป อย่างเช่น การว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ กอล์ฟ หรือเล่นปิงปอง

                 เลือดกรุ๊ปเอบี

              เปรียบเสมือนส่วนผสมของกรุ๊ปเอและบี ให้สังเกตตนเองว่า มักเลือกรับประทานอาหารของกรุ๊ปเอ หรือกรุ๊ปบีมากกว่ากัน ก็ให้ออกกำลังกายตามลักษณะของเลือดกรุ๊ปนั้น แต่ควรเพิ่มการออกกำลังกายให้เหมาะกับเลือดอีกกรุ๊ปด้วย เช่น มักรับประทานผักและผลไม้อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็ให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปบีบ้าง

                 เลือดกรุ๊ปโอ

              เหมาะกับการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่งทางไกล ชกมวย เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง และผักได้ในปริมาณมาก ทำให้มีโครงสร้างกระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับแน่น

              แต่ไม่ว่าคุณจะมีกรุ๊ปเลือดใด ต้องไม่ลืมการเดินเร็ว 10 นาที หลังจากออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังควรออกมายืดเส้นยืดสายเคลื่อนไหวร่างกาย ให้ผิวหนังถูกแสงแดดราว 20-30 นาที ด้วย


เรียกเหงื่อลดโรค กิจกรรมทางกาย ใคร ๆ ก็ทำได้



    เรียกเหงื่อลดโรค (นิตยสารสร้างสุข โดย สสส.)

              กิจกรรมทางกาย ใคร ๆ ก็ทำได้ เริ่มเลย

              ว่ากันว่า "กีฬาเป็นยาวิเศษ" แต่พอชวนเล่นกีฬา หลายคนมักมีข้ออ้างว่า ไม่มีเวลา ไม่ว่าง ไม่พร้อม สารพัดเหตุผลที่ยกมา จนสารพัดโรคเรื้อรังรุมเร้า

              แต่การขยับเขยื้อนร่างกายให้กล้ามเนื้อได้ยืดหยุ่น ให้เหงื่อได้ออก มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ร่างกายทั้งมีภูมิต้านทาน ไม่บาดเจ็บได้ง่าย และเหงื่อยังขับสารบางอย่างโดยเฉพาะโซเดียมที่จะขับออกมาทางเหงื่อจำานวนมาก ซึ่งจะทำให้ไม่เป็นความดันโลหิตสูง จนนำไปสู่โรคเรื้อรังอย่างไตวายเรื้อรังด้วย
     
              การเคลื่อนไหวร่างกายไม่จำเป็นว่าต้องเล่นเฉพาะกีฬาแบบจริง ๆ จัง ๆ เพราะนั่นกลายเป็นเงื่อนไขให้หลายคนไม่สามารถออกกำลังกายได้ ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายตัวชี้ให้เห็นว่า แม้ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่หากมี "กิจกรรมทางกาย" ซึ่งหมายความรวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อและกระดูก ได้ทำงานจนทำให้เกิดการเผาพลาญพลังงานตามมา หากสามารถมีกิจกรรมทางกายได้ก็จะเป็นส่วนช่วยให้เกิดผลดีต่อสุขภาพได้เช่นกัน

                 กิจกรรมทางกายง่ายนิดเดียว

              ไม่ง้อรถ สองขาที่ก้าวเดิน เป็นสิ่งพื้นฐานสุดง่ายที่ทุกคนทำได้ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เริ่มทำ ไม่ว่าจะเดินไปซื้อของ เดินไปขึ้นรถ เดินไปต่อรถ เดินไปหาเพื่อน หรือ เดินชมนกชมไม้ ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานได้โดยที่ไม่ต้องลงทุน เพียงแต่ออกแรงและเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อแลกกับสุขภาพที่ดีเท่านั้น

              ไม่ง้อลิฟต์ ความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่ทุกคนชอบ แต่หากลองเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ได้พบกับสุขภาพที่ดี ลองหันมาเดินขึ้นบันไดแทน เริ่มจากชั้น 2 ไม่ใช่ลิฟต์ เพิ่มเป็นชั้น 3 ไม่ใช่ลิฟต์ ชั้น 4 ไม่ใช่ลิฟต์ ถ้าทำได้ทุกวันก็ถือเป็นการออกกำลังกายแบบง่าย ๆ ได้เหงื่อซึมนิด ๆ หัวใจเต้นแรงหน่อย ๆ เผาผลาญพลังงานได้เป็นอย่างดี

              รักษ์โลก เลือกใช้บริการพาหนะสุดฮิตอย่างสองล้อ จักรยานเป็นสิ่งที่ทุกบ้านน่าจะมี และไม่ใช่ว่าการปั่นจักรยานจะต้องเป็นจักรยานสีสวย ราคาแพง เสือหมอบ หรือ แข่งได้ แต่จักรยานสามัญประจำบ้าน อย่างจักรยานแม่บ้านที่มีตะกร้าหน้ารถ หรือไม่มีก็แล้วแต่ที่เราชินตา ก็สามารถเปลี่ยนเป็นสุขภาพดี ๆได้เช่นกัน เพียงแค่หากมีธุระไม่ไกลระยะทาง 1-2 กิโลเมตร สามารถใช้จักรยานไปแทนการขับรถได้

              รักความสะอาด การเคลื่อนไหวในกิจกรรมประจำวันให้ติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะเป็น กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ปลูกต้นไม้ สิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น หากเราทำเป็นประจำ นอกจากก็จะช่วยให้บ้านสะอาด และได้ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี ไม่เชื่อต้องลองดู รับรองว่าได้เหงื่อแน่นอน และถือเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะร่างกายต้องการตัวช่วยในการเผาผลาญพลังงานให้หมดไป 

              แค่ขยับ หลาย ๆ คนโดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ มักจะทำงานโดยนั่งจมอยู่กับคอมพิวเตอร์เกือบตลอดทั้งวัน ทำให้โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ระบาดไปทั่ว และสุดท้ายคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง ฉะนั้น หากรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มนี้ ยิ่งจำเป็นต้องเพิ่มกิจกรรมทางกายระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นบันได การยืดเหยียดร่างกายให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายบ้าง เป็นต้น 



             นอกจากการเคลื่อนไหวโดยมีกิจกรรมทางกายให้เป็นนิสัย แต่ละช่วงวัยร่างกายต้องการการออกกำลังและมีกิจกรรมทางกายอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ร่างกายต้องบาดเจ็บ


      เด็กและเยาวชน (อายุ 5–17 ปี) 

                 เป็นวัยที่ควรมีกิจกรรมทางกายที่ออกแรงระดับปานกลางถึงหนักทุกวันเป็นประจำอย่างน้อย 60 นาทีต่อครั้ง กิจกรรมส่วนใหญ่ควรเป็นประเภทแอโรบิค และควรมีกิจกรรมที่ออกแรงอย่างหนักทำควบคู่ไปพร้อมกัน อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกได้อย่างดี


      ผู้ใหญ่ (อายุ 18-64 ปี) 

                 วัยนี้ควรมีกิจกรรมทางกายที่ออกแรงระดับปานกลาง อาจจะใช้วิธีการผสมผสานทั้งกิจกรรมออกแรงปานกลางและหนัก ในเวลาเท่า ๆ กันได้ โดยควรมีกิจกรรมในลักษณะแอโรบิคร่วมด้วย โดยในช่วงวัยนี้ร่างกายจะสะสมมวลกระดูกได้มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายด้วย ซึ่งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังขึ้นด้วย


    ผู้สูงอายุ (65 ปี ขึ้นไป) 

               วัยนี้สามารถมีกิจกรรมทางกายเหมือนกับวัยผู้ใหญ่ในช่วงอายุ 18-64 ปี แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวควรมีกิจกรรมเพิ่มความ สมดุลของร่างกาย เช่น ฝึกการเดินทรงตัวเพื่อป้องกันการหกล้ม 2-3 วันต่อสัปดาห์ กิจกรรมที่สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ควรทำ 2-3 วันต่อสัปดาห์ ในกรณีที่ผู้สูงอายุไม่สามารถทำตามข้อแนะนำดังกล่าวได้นั้น ควรจะทำกิจกรรมทางกายตามศักยภาพและเงื่อนไขของร่างกายเท่าที่จะเอื้ออำนวย

                                                   เพียงเท่านี้สุขภาพดี ๆ ก็เป็นของทุกคน


ออกกำลังกายแนวใหม่ ห้อยหัวลงพื้น เพื่อหน้าท้องฟิตกระชับ




              การออกกำลังกายแนวใหม่ ด้วยการห้อยหัวลงพื้น ช่วยให้พุงลด และเพิ่มกล้ามเนื่้อให้หน้าท้องสวยงาม อีกทั้งยังช่วยมีกำลังแข็งแรงขึ้น และรักษาอาการปวดหลังได้ด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีบุตรที่หน้าท้องไม่สวยเหมือนเดิม ก็สามารถออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ เพื่อฟิตหน้าท้องให้กลับมาเฟิร์มได้อีกครั้ง

              วันที่ 30 เมษายน 2014 เว็บไซต์เดลี่เมล  เผยเรื่องราวการออกกำลังกายแนวใหม่ที่ใครเห็นก็ต้องสนใจ ด้วยการห้อยหัวลงพื้น ซึ่งดูแล้วเป็นท่าทางการออกกำลังกายที่อาจจะแปลกไปเสียหน่อย แต่จะช่วยให้ร่างกายฟิตกระชับอย่างได้ผลไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญคุณสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะในยิม ในฟิตเนส หรือแม้กระทั่งสวนสาธารณะที่มีราวเหล็กที่แข็งแรงพอ  

              การออกกำลังกายแนวใหม่นี้ถูกกล่าวอ้างถึงสรรพคุณว่า จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพให้กล้ามเนื้อทั่วกายแข็งแรงมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยในเรื่องของการไหลเวียนของเลือดในระบบร่างกาย ช่วยเยียวยาอาการปวดหลัง และช่วยฟื้นฟูความหย่อนคล้อยของผิวหนังที่เหี่ยวลงไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยให้คุณมีกล้ามเนื้อที่หน้าท้องที่สวยงาม และช่วยลดพุงได้ดีอีกด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ที่ผ่านการมีบุตรมาแล้วซึ่งหน้าท้องผ่านการยืดขยายจนกลายเป็นหย่อนคล้อย ก็สามารถออกกำลังกายห้อยหัวท่านี้เพื่อลดหน้าท้องให้กลับมาฟิตเปรี๊ยะเหมือนเดิมได้อีกครั้ง

                สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกายด้วยท่าห้อยหัวเป็นครั้งแรก ไม่ควรทดลองทำด้วยตนเอง แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้วย เพราะอาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อหากขาดทักษะ  และความชำนาญในการออกกำลังกาย โดยอลิซ สเมลลี่ (Alice Smellie) คุณแม่ลูกสามผู้เป็นคอลัมนิสต์ของเดลี่เมลเอง ก็พยายามออกกำลังกายเพื่อให้รูปร่างกระชับด้วยวิธีการออกกำลังกายวิธีห้อยหัวลงพื้นนี้เช่นกัน โดยอยู่ภายใต้ความดูแลของผู้เชี่ยวชาญไประยะหนึ่งจนชำนาญ และสามารถทำด้วยตัวเองได้ที่บ้าน

                คุณผู้หญิงที่กำลังกังวลเรื่องหน้าท้องที่หย่อนคล้อย ไม่กระชับ โดยเฉพาะคุณแม่ที่หน้าท้องยืดขยายจนไม่เฟิร์ม การออกกำลังกายแนวใหม่ด้วยท่าห้อยหัวจะช่วยคุณได้ เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาดีไม่แพ้การไปเล่นฟิตเนส หรือโยคะเลย แต่ถ้าหากคุณยังเป็นมือใหม่ก็อย่าลืมหาผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ และดูแลเวลาคุณออกกำลังกายท่านี้ด้วยนะคะ





Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Facebook Themes