31/5/57

ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด



       กาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษหากดื่มไม่ถูกวิธี  ก่อนจะรู้ว่าดื่มกาแฟอย่างไรจะเกิดประโยชน์สูงสุด เรามาดูผลดี ผลเสียของกาแฟกันก่อนนะค่ะ
หากดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ จะเกิดผลดีต่อร่างกายดังนี้ค่ะ
  • กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน  เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานต่อเนื่อง เช่น ทำงานรอบดึก ควบคุมเครื่องจักรกล รวมถึงผู้ขับขี่รถยนต์ระยะทางไกลๆ โดยกลไกการออกฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีนนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากคาเฟอีนไปยับยั้งการทำงานของสารอะดีโนซีน (adenosine) ทำให้เซลล์ประสาทมีความไวมากกว่าปกติ มีการหลั่งของสารสื่อประสาท เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) เพิ่มขึ้น ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน
  • ช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย กลไกนี้มาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการหลั่งของสารสื่อประสาทเคทีโคลามีน (cetecholamine) ซึ่งจะไปกระตุ้นการสลายไขมันในเนื้อเยื่อให้เป็นพลังงาน ดังนั้นคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปไกลโคเจน (glycogen) จึงยังคงเป็นแหล่งพลังงานสำรองที่สะสมในกล้ามเนื้อ ร่างกายจึงทนทานต่อกิจกรรมที่ใช้แรงมากได้นานขึ้น



 หากดื่มกาแฟปริมาณมากเกินไป จะเกิดผลเสียต่อร่างกายดังนี้ค่ะ
  • หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง อัตราการบีบตัวของหัวใจและปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อนาทีจะเพิ่มขึ้น
  • นอนไม่หลับ หากร่างกายได้รับคาเฟอีนสูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน จะทำให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท และช่วงเวลาที่หลับนั้นสั้นลง
  • เร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร คาเฟอีนมีฤทธิ์ไปกระตุ้นการหลั่งกรดเพปซิน (pepsin) และแกสตริน (gastrin) อาจทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้รุนแรงขึ้นได้
  • ปัสสาวะบ่อยๆ คาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยจะไปลดการดูดกลับของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมจากหน่วยไต แร่ธาตุเหล่านี้จะถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ จึงมีข้อสันนิษฐานว่า หากมีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายบ่อยๆ ในปริมาณมาก อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือนได้
  • ปวดศีรษะ ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ หากหยุดดื่มกะทันหันจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ร่างกายอ่อนเพลีย และง่วงนอน



   เมื่อรู้ผลดีผลเสียของกาแฟกันแล้ว ก็มาดูกันเลยค่ะว่าดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
  1. ควรสังเกตว่าตัวคุณเอง มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟกี่ถ้วย มีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตนเอง
  2. หากมีอาการนอนหลับยาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือช่วงหัวค่ำ
  3. ไม่ควรดื่มกาแฟขณะท้องว่าง เนื่องจากคาเฟอีนเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
  4. ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อหักโหมทำงาน และอดนอนติดต่อกันหลายๆ คืน แม้ว่าคาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวจริง แต่สมองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้
  5. หากคุณเป็นผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมเพิ่มเติม เช่น นม    โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทน แคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น
  6. ควรกินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้
  7. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของคาเฟอีน


ดืมกันในปริมาณที่พอดีนะค๊าา



เลือกกินดี ชีวิตห่างไกลโรค NCDs



    เรื่องโดย : กิดานัล กังแฮ Team Content www.thaihealth.or.th

              โรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เลี่ยงได้ไม่ยาก แค่เลือกกินดี กินอย่างสมดุลก็ห่างไกลโรคแล้ว
              คนยุคนี้มีโรคภัยมากมายรุมเร้าโดยเฉพาะกลุ่มโรค "ไม่ติดต่อเรื้อรัง" อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบผิด ๆ กินอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ ไม่ออกกำลังกาย ทว่าหากรู้และเข้าใจเรื่องของการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง ก็จะลดอัตราเสี่ยงในการป่วยได้


              ดังนั้น ทุกครั้งที่เลือกกินอาหาร จึงไม่ควรเพียงกินให้อิ่มท้อง หรือเน้นแค่ความอร่อย แต่ต้อง "กินอย่างฉลาด" เพื่อต้านทานโรคด้วย
             
              อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข เชี่ยวชาญโภชนาการ กล่าวว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมให้ห่างไกลจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ควรเจาะจงไปที่โรคใดโรคหนึ่งแต่ควรป้องกันไม่ให้เรามีความเสี่ยงเลยในทุก ๆ โรค ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ "ความสมดุล" ในการรับประทาน
     
              "พฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้องที่นำพาไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ การกินอาหารที่พลังงานสูงมากเกินไป ไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด"


              สำหรับโรคความดันโลหิต สาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง หรือเค็มจัด ซึ่ง "โซเดียม" ไม่ได้มีแค่ในเกลือ น้ำปลา กะปิ เท่านั้นแต่ยังมีในอาหารอื่น ๆ ด้วย แม้ในอาหารที่ไม่มีรสเค็มแต่มีปริมาณโซเดียมสูงอย่าง ผงชูรส ผงฟูที่ใช้ในการทำเบเกอรี ก็ควรจะต้องระวังด้วยเช่นกัน

              "ปัจจุบันคนเราบริโภคอาหารเค็มเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะอาหารปรุงสำเร็จแต่ละชนิดมักจะมีเกลือเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว ในขณะที่เราควรบริโภคเกลือเพียงวันละ 1 ช้อนชา หรือไม่เกิน 6 กรัมเท่านั้น ถ้าร่างกายคนเราเมื่อปริมาณโซเดียมสูงเกินไป ไตจะขับถ่ายออกมา และเมื่อใดที่ไตทำงานผิดปกติ ก็จะไม่สามารถขับโซเดียมได้ ในปริมาณที่เหมาะสมจนร่างกายมีปริมาณโซเดียมสะสมสูง น้ำในร่างกายจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น นั่นหมายถึงว่า ระดับเลือดจะสูงขึ้นด้วย"
              
              อาจารย์สง่า ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตมีความสอดคล้องกัน ความดันโลหิตสูงส่งผลกระทบหลายประการต่อหัวใจ เพราะเมื่อร่างกายมีภาวะความดันในหลอดเลือดสูง หัวใจก็จะต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อต้านกับความดันในหลอดเลือดที่สูง เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ฉะนั้นการได้รับอาหารปริมาณที่พอเหมาะ และถูกสัดส่วน ไม่มากหรือน้อยเกินไป เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม

              อีกหนึ่งโรคยอดนิยมคือ โรคเบาหวาน โดยมีที่มาจากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินปกติ การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล และแป้งสูง เพราะแป้งสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ ซึ่งหลายคนที่ควบคุมความหวานมักจะเน้นไปทางน้ำตาล แต่ละเลยในเรื่องการควบคุมแป้ง ทำให้ก็ยังคงมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานเช่นเดิม ควรรับประทานอาหารที่ครบถ้วนตามโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารที่มีกากใยสูง ผัก ผลไม้ ธัญพืช ช่วยให้การย่อย และการดูดซึมน้ำตาลช้าลง ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถดึงน้ำตาลที่อยู่ในเลือดไปใช้งานได้ทัน ไม่เกิดการสะสมมากเกินความจำเป็นของร่างกาย

              "อาหารไทยพื้นบ้านเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง เช่น น้ำพริก แกงเลียง แกงส้ม ล้วนมีผักเป็นส่วนประกอบ และมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม"  
           
              ทั้งนี้ เคล็ดลับในการกินอย่างถูกต้อง คือการดูข้อมูลแหล่งที่มาของอาหารที่รับประทานว่ามีปริมาณไขมัน น้ำตาล หรือเกลือมากน้อยเท่าไหร่ สังเกตพฤติกรรมการรับประทานของตนเอง ลดปริมาณการบริโภคให้เพียงพอกับร่างกาย แล้วหันมารับประทานผัก และผลไม้ให้มากขึ้น ในทุก ๆ มื้อควรจะมีผักผลไม้เป็นส่วนประกอบ
            
              การสร้าง "สมดุล" ให้ชีวิต นับเป็นเส้นทางสู่การมี "สุขภาพดี" หากคุณใส่ใจสุขภาพเสียตั้งแต่วันนี้ เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเสียใหม่ กินให้ถูก ดูแลจิตใจ และออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร ย่อมห่างไกลจากการป่วยในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...


10 เคล็ดลับ เลิกบุหรี่ (No Smoking) เพื่อสุขภาพที่ดี



10 เคล็ดลับ เลิกบุหรี่ เพื่อสุขภาพที่ดี

      เคล็ดลับต่อไปนี้ คือ การปฏิบัติอย่างง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ 10 เคล็ดลับ เลิกบุหรี่ 3 หา 7 ไม่


1. หาที่ปรึกษา 

      พยายามขอคำปรึกษาจากคนที่คุณรู้จักที่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จมาแล้ว หรือโทรศัพท์ ขอคำแนะนำในการเลิกบุหรี่ได้ที่ โทร.1600




2. หากำลังใจ
 
     คุณควรบอกให้คนใกล้ชิดทราบถึงความตั้งใจที่จะเลิกบุหรี่ เพราะกำลังใจจากคนรอบข้างจะช่วยให้คุณมีความพยายามที่จะเลิกสูบบุหรี่ได้




3. หาเป้าหมาย
     คุณควรวางแผนการปฏิบัติตัว โดยกำหนดวันที่จะลงมือเลิกสูบบุหรี่ อาจจะเลือกวันสำคัญต่างๆ ของครอบครัว เช่น วันเกิดตัวเองหรือของลูก วันครบรอบแต่งงาน แต่ทั้งนี้ไม่ควรกำหนดวันที่ห่างไกลเกินไป




4. ไม่รอช้า
     คุณควรเตรียมตัวให้พร้อม ด้วยการทิ้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ให้หมด เตรียมผลไม้รสเปรี้ยวหรือของขบเคี้ยว เพื่อช่วยลดความอยาก รวมทั้งเปลี่ยนกิจกรรมที่คุณมักทำร่วมกับการสูบบุหรี่




5. ไม่หวั่นไหว
      เมื่อถึงวันลงมือ ควรตื่นนอนด้วยความสดชื่น บอกตัวเองว่าคุณกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองและคนใกล้ชิด ทบทวนถึงเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจเลิกบุหรี่ ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ใกล้ชิดกับคนที่ไม่สูบบุหรี่





6. ไม่กระตุ้น
     ในระหว่างนี้ขอให้คุณหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้คุณอยากสูบบุหรี่ เช่น ถ้าเคยดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์




7. ไม่หมกมุ่น 
     เมื่อรู้สึกเครียด ให้หยุดพักสมองสักครู่ คลายความเครียด โดยการพูดคุยกับคนอื่นๆ หรือหาหนังสือขำขันมาไว้อ่านบ้างก็ได้ ระลึกถึงเสมอว่า มีคนไม่สูบบุหรี่อีกมากที่คลายเครียดได้โดยไม่ต้องสูบบุหรี่



8. ไม่นิ่งเฉย
     ควรจัดเวลาออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยวันละ 15-20 นาที เพราะนอกจากจะเป็นการควบคุมน้ำหนัก ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง เพิ่มประสิทธิภาพของหัวใจและปอด



9. ไม่ท้าทาย
     อย่าคิดว่ากลับไปลองสูบบ้างเป็นครั้งคราวคงไม่เป็นไร เพราะการลองสูบบุหรี่เพียงมวนเดียวอาจหมายถึงการหวนคืนไปสูความเคยชินเก่าๆ อีก คุณมาไกลมากแล้ว




10 ไม่ท้อแท้
     หากต้องหันกลับไปสูบอีก ไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนล้มเหลว อย่างน้อยคุณก็ได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวเอง ในคราวต่อไป ขอเพียงพยายามต่อไปที่จะเตรียมตัวต่อสู้อีกจนหยุดบุหรี่ให้ได้


อย่สูบบุหรี่กันเลยนะค่ะเปลื่องตังยังไม่พอเสียสุขภาพอีก



30/5/57

วิธีลดน้ำหนัก(weight)อย่างถูกวิธี "ไขความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง"



1. การควบคุมอาหารไม่ถูกเวลา

ส่วนใหญ่มักเลือกอดอาหารเช้าแล้วมาทานหนักในตอนเย็นซึ่งสอดคล้องกับการใช้ ชีวิตของคนยุคปัจจุบัน ความเป็นจริงร่างกายเราต้องการอาหารเช้าเพื่อใช้เป็นพลังงานทั้งวัน ส่วนตอนเย็นและตอนกลางคืนร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารน้อย ถ้าทานเข้าไปมากก็จะถูกสะสมในรูปของไขมัน ดังนั้นผู้ที่อดอาหารโดยวิธีนี้จึงมักมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง


2. การควบคุมอาหารไม่ถูกประเภท

บางคนอดข้าวแต่หันไปทานกาแฟวันละหลาย ๆ แก้วแทน ความเป็นจริงกาแฟมีทั้งน้ำตาลและครีมเทียมที่ทำมาจากน้ำมันปาล์มเป็นส่วน ใหญ่ให้พลังงานสูงกว่าทานข้าวทำให้หิวบ่อย จึงต้องทานวันละหลาย ๆ แก้ว ทำให้การควบคุมอาหารประสบกับความล้มเหลว



3. มีการแนะนำให้ผู้ต้องการลดน้ำหนักทานผลไม้มาก ๆ

ตามตำราของคนตะวันตกความเป็นจริงชาวตะวันตกนิยมผลไม้รสเปรี้ยวมีแคลอรี่ต่ำ เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนไทยหรือคนเอเซียส่วนใหญ่นิยมทานผลไม้รสหวานมีแคลอรี่สูงหรือถ้าผล ไม้รสเปรี้ยวก็มักจะมีเครื่องจิ้มมีรสหวาน ดังนั้นการแนะนำให้ทานผลไม้มาก ๆ ควรเน้นเฉพาะผลไม้รสไม่หวานหรือมันและงดเครื่องจิ้มที่มีรสหวานเช่นน้ำปลา หวาน

4. มีความเชื่อว่าการลดน้ำหนักจำนวนมาก ๆ

ในเวลาสั้น ๆ เป็นวิธีการที่ดีและได้ผล ความเป็นจริงการลดน้ำหนักมาก ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น มักเป็นการขับน้ำออกจากร่างกาย เช่น การขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ยาถ่าย เพราะน้ำหนักมากกว่าไขมันและเมื่อดื่มน้ำเข้าไปทดแทนน้ำหนักก็จะกลับเพิ่ม ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การลดน้ำหนักที่ดีต้องเป็นการกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปและใช้ระยะเวลาในการลด น้ำหนักต่อเนื่องและนานพอสมควร



5. การควบคุมอาหารทำให้ต้องเลิกทานอาหารที่โปรดปราน

หลายคนปฏิเสธที่จะควบคุมอาหารเพราะเหตุนี้ ความจริงคุณยังสามารถรับประทานอาหารที่ชอบได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น อาหารที่มีไขมันสูง รสหวานจัด ก็ควรทานแต่น้อย หรือไปลดอาหารส่วนอื่นแทน

6. วุ้นเส้น

คนทั่วไปทราบว่าวุ้นเส้นนั้นทำจากถั่วเขียวจึงคิดว่าทำให้อ้วนน้อยกว่าข้าว บางคนทานวุ้นเส้นแทนข้าว ความเป็นจริงวุ้นเส้นแม้ทำมาจากถั่วเขียวแต่กรรมวิธีการผลิตเป็นการสกัดเอา เฉพาะส่วนที่เป็นแป้งออกมาเกือบ 90% เป็นแป้ง มีส่วนที่เป็นโปรตีนและกากอาหารน้อยมาก วุ้นเส้นขนาด 1 มัด หรือ 1 ห่อเล็ก หนัก 50 กรัม ให้พลังงานได้ถึง 170 แคลอรี่ ซึ่งใกล้เคียงกับข้าวสาร หนัก 50 กรัม ให้พลังงาน 175 กิโลแคลอรี่ ส่วนวุ้นเส้นที่ทำจากแป้งมันก็มีแคลอรี่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นการทานวุ้นเส้นจึงให้พลังงานใกล้เคียงกับข้าว การรับประทานมาก ๆ ก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน ความเป็นจริงไขมันทุกชนิดให้พลังงานได้สูงเหมือนกันดังนั้นการรับประทานมาก ก็ยิ่งทำให้อ้วนได้มากเหมือนกันการรับประทานควรจำกัดปริมาณ


7. การผ่าตัดเอาไขมันออกและการดูดไขมัน

สามารถใช้ในการลดน้ำหนักได้ ความเป็นจริงการผ่าตัดเอาไขมันออกและการดูดไขมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดไขมัน ส่วนเกินได้เฉพาะที่เพื่อความสวยงามเท่านั้น การผ่าหรือดูดไขมันเพื่อลดน้ำหนักทั้งตัวนั้นทำไม่ได้และมีอันตรายมากปกติ แพทย์จะไม่ทำให้


8. น้ำมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำ หรือน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า 3 สามารถรับประทานมาก ๆ ได้ยิ่งทานมากยิ่งได้ประโยชน์มาก


9. ทัศนะที่ว่าท้องแตกดีกว่าของเหลือ

ความเป็นจริงไม่มีใครท้องแตกมีแต่คนอ้วน ควรปรับความคิดใหม่ไม่ควรเสียดายอาหารที่เหลือคิดเสียว่าปล่อยให้อาหารเหล่า นั้นเป็นขยะอยู่ภายนอกดีกว่าเอามาเป็นขยะภายในร่างกายเรา



ขอบคุณค๊าา




35 วิธีการกินอาหารลดน้ําหนัก ลดความอ้วน



1. รับประทานผัก ผลไม้มากๆ

อย่าละเลยการรับประทานผัก ผลไม้ เด็ดขาดค่ะ เพราะ ผัก ผลไม้ มีทั้งเส้นใยและสารอาหารต่างๆ ที่ดีกับคุณสาวๆ แถมทานมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนด้วย


2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอดๆ และติดมัน

อาหารทอดๆ มาพร้อมกับน้ำมันที่จะมาทำให้คุณอวบอั๋นขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น กุนเชียง หมูสามชั้นทอดกรอบ หนังไก่ กากหมู ถ้าไม่อยากอ้วน อดใจไว้ค่ะ


3. ทานดาร์กช็อกโกแลต

ใช่ค่ะคุณหูไม่ฝาดเรากำลังแนะนำให้คุณทานช็อกโกแลต แต่ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทั่วๆ ไปก็ทานได้หรอกนะค่ะ ต้องเป็นดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นถึงจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์และเป็นประโยชน์กับร่างกายของคุณสาวๆ


4. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

แทบจะทุกบทความ ที่แนะนำให้คุณดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จึงช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินให้คุณด้วย ซ้ำยังช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้นด้วย หากคุณดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนทานอาหารทุกครั้ง แต่อย่าชะแว้บ! ไปมอง "น้ำอัดลม" หรือ "น้ำผลไม้" เชียว ยกเว้น "น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง" ที่เราแนะนำให้คุณดื่มได้


5. ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วหลังตื่นนอน

จำและทำให้เป็นนิสัยเพราะการดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ทันทีหลังจากที่คุณเพิ่งตื่นนอนจะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบาทำงานได้อย่างคล่องตัว


6. ทานอาหารเช้า

จำได้ไหมว่า อาหารเช้าคืออาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้าหากคุณสาวๆ พลาดอาหารเช้าในช่วงเวลา 6.00-10.00 น. ไปล่ะก็ คุณอาจจะรู้สึกหิวในมื้อต่อๆ ไปมากขึ้น ทีนี้ล่ะคุณอาจจะเผลอตัวเผลอใจสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ยั้งแล้วจะลดน้ำหนักได้อย่างไรล่ะจ๊ะ


7. กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน

การไดเอทไม่ได้สำคัญที่ว่าคุณทานอะไรเข้าไป แต่สำคัญที่ว่าทำไมคุณถึงทานเข้าไปต่างหาก ฉะนั้นแล้วหากใครชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์เพียงเพื่ออยากทานสิ่งนั้นจงเปลี่ยนพฤติกรรมด่วนค่ะ ทานให้แต่พออิ่มจะดีกว่า และควรทานเมื่อเวลาที่หิวจริงๆ 


8. ออกกำลังกายสำคัญสุดๆ

แน่นอนว่าหนึ่งในวิธีที่คนทั่วโลกแนะนำก็คือ การออกกำลังกายนี่แหละเพราะมันจะช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวได้ แถมยังจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงานได้คราวละมากด้วย หากคุณสาวๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอลองหาเวลาเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน นอกจากคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ดีแล้วยังจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอีกด้วยล่ะ


9. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท

เขาว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นอย่ามาท้อแท้กับการไดเอทเพียงลำพังเลย ลองหาเพื่อนที่มีแนวคิดเดียวกันแล้วชวนมาลดความอ้วนด้วยกันดีกว่า เพราะการมีเพื่อนหัวอกเดียวกันจะทำให้คุณมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ


10. อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น

สาวๆ มักจะชอบซื้ออะไรต่อมิอะไรมาเก็บไว้ในตู้เย็น อ้างว่า เตรียมไว้รับรองแขกบ้าง ไว้เลี้ยงเพื่อนบ้างล่ะ แต่สุดท้ายก็มักจะเหลือเต็มตู้เย็นจนคุณสาวๆ นั่นแหละต้องมาทานเอง เพราะฉะนั้นหากไม่อยากอ้วนกำจัดของกินในตู้เย็นโดยด่วน คุณจะได้ไม่เผลอหยิบติดมือมาทานได้ง่ายเกินไปนั่นเอง แต่ถ้าอยากจะมีอาหารติดในตู้เย็นแนะนำว่า ผักผลไม้และบรรดาอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหลายจะเวิร์กที่สุดค่ะ


11. อย่ากินไป ดูทีวีไป

รู้หรอกน่า ว่าคุณสาวๆ ชอบกินนั่น กินนี่ กินจุบกินจิบทั้งวันไม่เป็นเวลา โดยเฉพาะเวลานั่งดูโทรทัศน์หรือนั่งอ่านหนังสือมักจะหาอะไรติดไม้ติดมือเข้า ปากเป็นประจำ แต่นั่นแหละค่ะการที่ คุณสาวๆ หยิบคุ้กกี้บ้าง ขนมปังกรอบบ้าง มันฝรั่งทอดบ้าง เข้าปากแต่ละทีคุณจะเพลินจนลืมเรื่อง "อ้วน" ไปชั่วขณะเลยทีเดียว


12. ใส่ใจ "ข้าวกล้อง" กันให้มากขึ้น

ปกติเรามักจะชินกับการรับประทาน "ข้าวขาว" ซึ่งจะได้เพียงแค่คาร์โบไฮเดรตเท่านั้น แต่หากคุณเปลี่ยนมาทาน"ข้าวกล้อง" แทน คุณจะได้ทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่มากมายจากเยื่อหุ้มและจมูกข้าวที่ไม่ได้ถูกขัดสีออกไป



13. "น้ำตาล" และ "เกลือ" จอมวายร้าย

"น้ำตาล" เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพราะฉะนั้นบรรดาของหวาน ลูกอม น้ำอัดลม เค้กต่างๆ จงงดเสีย!!! ให้ดื่มน้ำมะนาวแทนหรือทานน้ำตาลที่มาจากผลไม้จะดีกว่า เช่นเดียวกับ "เกลือ" ที่เราควรได้รับโซเดียมวันละไม่เกิน 1 ช้อนชาเท่านั้น แต่เกลือหรือโซเดียมที่ผสมอยู่ในขนมต่างๆ อาหารฟาสต์ฟู้ดส์รวมทั้งซุปที่ทานเข้าไปในแต่ละวันล้วนเกินปริมาณที่กำหนด จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงและทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมายตามมาได้ เพราะฉะนั้น ลดซะ!!!


14. ระวัง!!! สลัดน้ำข้น

คุณสาวๆ หลายคนอาจสงสัยทำไมทานสลัดอยู่ทุกวันๆ ยังอ้วนอีก เพราะลืมไปว่า ตัวเองทานผักสลัดกับสลัดน้ำข้นนั่นไงล่ะ รู้ไหมว่า สลัด น้ำข้นนั้นอุดมไปด้วยครีมนมและไขมันนม ซึ่งหากรับประทานเข้าไปมากๆ แม้จะทานกับผักก็เถอะร้อยทั้งร้อย "อ้วน" อย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ



15. สรรหาจานสีเข้มๆ

มีผลการศึกษาระบุว่า การใช้จานอาหารสีสดใสจะช่วยกระตุ้นให้คุณอยากทานอาหารมากขึ้น กลับกันหากคุณใช้จานอาหารสีเข้มๆ โดย เฉพาะสีน้ำเงินจะทำให้คุณลดความอยากอาหารลงไปได้ และนี่เองจะช่วยสกัดกั้นไม่ให้คุณทานมากจะได้ไม่ต้องลดน้ำหนักอย่างเอาเป็น เอาตายภายหลังอย่างไรล่ะค่ะ



16. ใช้ภาชนะให้เล็กลง

นอกจากใช้ภาชนะสีเข้มๆ แล้ว การเปลี่ยนจานให้เล็กลงก็เป็นวิธีทางจิตวิทยาที่ทำให้เรารู้สึกว่า อาหารมีปริมาณมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็ว ไม่อยากหาอะไรทานอีก



17. ลด ชา , กาแฟ , ครีมเทียม

การรับประทานชา , กาแฟ มากกว่าสองแก้วต่อวันอาจทำให้คุณอ้วนได้ โดยเฉพาะหากใครชอบใส่ครีมเทียมในกาแฟจะทำให้คุณได้รับแคลอรี่มากขึ้นโดยไม่รู้ตัวรวมทั้งกาแฟสดทั้งหลายด้วยล่ะ



18. เคี้ยวช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

การเคี้ยวอาหารช้าๆ และเคี้ยวอย่างละเอียด ช่วยคุณสาวๆ ลดความอ้วนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะจะทำให้สมองมีเวลาที่จะส่ง สัญญาณไปบอกให้ท้องรู้สึกอิ่มได้แล้วกลับกันคนที่เคี้ยวเร็ว กินเร็ว จะไม่รู้สึกอิ่มแม้ทานอาหารหมดจานแล้ว และเมื่อท้องไม่อิ่มคุณสาวๆ ก็มักจะมองหาของหวานตบท้ายมื้ออาหารซึ่งจะนำความอ้วนมาสู่ร่างกายของคุณอย่างชัวร์ๆ

19. หลีกเลี่ยงไข่แดง ให้ทานไข่ขาว

ไข่แดงอุดมไปด้วยคอเลสเตอรอลที่เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจและโรคอ้วน แต่ไข่ขาวไม่มีคอเลสเตอรอล ดังนั้น ควร หลีกเลี่ยงการรับประทานไข่แดงหรือทานในปริมาณน้อยและหันมาทานไข่ขาวแทน นอกจากนี้หากวันไหนทานไข่มากๆ ก็ควรงดการทานอาหารที่มีไขมันสูงในมื้ออื่นๆ ของวันเดียวกันด้วยเพื่อไม่ให้มีคอเลสเตอรอลสะสมในร่างกายมากเกินไป



20. อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยการไปทานอาหาร

สอบผ่าน! โปรเจกท์ผ่าน! พรีเซนต์งานผ่าน! ไปฉลองกันดีกว่า!!! หยุดความคิดนี้เลยค่ะ เพราะการที่คุณให้รางวัลกับความสำเร็จของตัวเองด้วยการไปรับประทานอาหารตามใจปากอาจทำให้คุณอ้วนได้เหมือนกัน ทางที่ดีให้ รางวัลกับตัวเองด้วยการทำสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ยกเว้นเรื่องกิน!!! เช่น ไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยวพักผ่อน นวดหน้า ทำผม ขัดผิว ฯลฯ จะดีที่สุดค่ะ



21. จำไว้อย่าอด

ใช่ว่าการไดเอทคือการอดอาหาร เพราะยิ่งคุณอดอาหารเท่าไหร่จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แถมยังทำให้คุณหิวมากขึ้นมากขึ้นจนทำให้คุณสามารถทานได้มากกว่าปกติในมื้อต่อไป



22. แบ่งทานบางส่วนไม่ต้องทานให้หมด

สาวๆ หลายคนบ่นเสียดายอาหารที่อยู่ตรงหน้าไม่อยากเหลือทิ้งไว้ แต่สำหรับกฎเกณฑ์ของการลดความอ้วนคุณไม่จำเป็นต้องทานหมดหรอกค่ะ โดยคุณควรจะแบ่งอาหารในจานไว้ 4 ส่วน แล้วทานเพียงแค่ 3 ส่วนก็เพียงพอแล้ว


23. อย่าทานอะไรหลังมื้อเย็นอีก

ไม่ดีแน่หากคุณทานขนมหรืออาหารอะไรหลังจากคุณทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีคือควรจะให้ร่างกายได้พักผ่อนจากการย่อยอาหารแล้วไปเริ่มทำงานใหม่ในมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า


24. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่า หากคุณพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพออาจจะมีผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปตินซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร ดังนั้น อาจทำให้คุณยับยั้งชั่งใจในการรับประทานไม่อยู่และอ้วนขึ้นได้ นอกจากนี้หากคุณนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็สามารถช่วยให้ร่างกายกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน


25. ทานหลายๆ มื้อเล็กๆ ในหนึ่งวัน

ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การทานอาหาร 4-5 มื้อเล็กๆ ในแต่ละวัน จะช่วยควบคุมระบบการเผาผลาญและความอยากอาหารได้ดีกว่าการทานอาหารมื้อปกติ 3 มื้อ โดยระหว่างมื้ออาหารคุณอาจทานสแน็กหรือผลไม้เพื่อให้คุณอิ่ม และไม่หิวมากจนกระทั่งถึงมื้อต่อไป ทีนี้ในมื้อต่อไปคุณก็จะทานอาหารได้น้อยลงแล้ว



26. โปรตีนตัวช่วยลดความอ้วนในทุกๆ มื้อ

มีคำแนะนำให้ในแต่ละมื้ออาหารต้องมีอาหารประเภทโปรตีนผสมด้วย เพราะโปรตีนจะช่วยคงสภาพกล้ามเนื้อและกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น โดยโปรตีนที่แนะนำก็คือ อาหารจำพวกถั่ว นม โยเกิร์ตนั่นเอง


27. เผ็ดหน่อยอร่อยดี

การศึกษาพบว่า "พริก" ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญจึงมีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้การกินพริกจะไม่ทำให้รู้สึกอยากกินหวานอีก รับรองว่า กินพริกแล้วลืมเรื่องความอ้วนไปได้เลย



28. ดื่มชาเขียว

มหาวิทยาลัยสวิสเซอร์แลนด์พบว่า การดื่มชาเขียวเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดน้ำหนักเพราะจะช่วยเรื่องการเผาผลาญแคลอรี่ได้ ดังนั้นควรพยายามดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า ต้องเป็นชาเขียวบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ใช่ชาเขียวในขวดที่มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมากแบบนี้ลดความอ้วนไม่ได้แน่นอนค่ะ


29. ดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วน

หากไม่ชอบดื่มชาเขียวจะลองหันมาดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนได้เพราะนมเป็นแหล่งอุดมไปด้วยแคลเซียมซึ่งมีการศึกษาพบว่า การที่ร่างกายได้รับวิตามินดีและแคลเซียมสูงจะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงได้แถมนมยังทำให้เรารู้สึกอิ่มจนไม่อยากทานอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่มีน้ำตาลด้วย



30. อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ด้วยล่ะ

ก่อนซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มลองอ่านรายละเอียดที่ติดอยู่ข้างผลิตภัณฑ์ หีบห่อ ฯลฯ ดูก่อนทุกครั้ง เพราะมันจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีแคลอรีสูงหรือไขมันสูงได้ แต่ขอย้ำว่ายามใดที่ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตควรหลีกเลี่ยงการไปเดินในบริเวณที่ขายคุ้กกี้ พิซซ่าแช่แข็ง และไอศกรีม เพราะคุณอาจจะไม่ทันได้อ่านฉลากข้างกล่องก็ซื้อมันได้ง่ายๆ เพราะติดใจในความอร่อยของมันนั่นเอง


31. จดบันทึกประจำวันให้เป็นนิสัย

แต่ละวันคุณกินอะไรไปบ้างลองจดบันทึกไว้ทุกๆ สัปดาห์ดูสิ เพราะมันจะช่วยให้คุณยับยั้งชั่งใจและควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้ดีเลยทีเดียว



32. ทานผลไม้สดดีกว่าผลไม้ดองหรือน้ำผลไม้ปั่น

น้ำผลไม้ปั่นมักผสมน้ำเชื่อม น้ำตาล ทำให้คุณสาวๆ ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็น ขณะเดียวกัน ผลไม้ดอง ก็อาจมีสารแซคคารีนหรือที่เรียกว่าขัณฑสกรผสมอยู่ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้วิตามินที่ครบถ้วน เลือกทานผลไม้สดดีกว่าแน่นอนค่ะ


33. ความเครียด คือ จุดอ่อน

รู้ไหมคะว่าเมื่อฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นก็ทำให้ความต้องการอาหารในร่างกายเพิ่มขึ้นหรือทำให้หิวนั่นเองแถมหิวบ่อยชนิดที่ไม่รู้ตัวเลยด้วย เพราะคนเครียดส่วนใหญ่มักจะจมอยู่กับความเครียดจนลืมสังเกตพฤติกรรมการกินของตัวเอง ดังนั้นทำตัวเองให้ห่างไกลจากความเครียดเถอะค่ะ



34. หัวเราะช่วยลดความอ้วน

งานวิจัยระบุว่า การหัวเราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นขณะเราหัวเราะจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปได้มากขึ้นทำให้กล้ามเนื้อท้องได้ออกกำลังไปในตัว

35. ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง

ไม่จำเป็นที่คุณจะรีบร้อนชั่งน้ำหนักตัวทุกๆ วัน เพราะหากคุณลดไม่ได้ดังใจปรารถนาแล้วจะยิ่งทำให้คุณเครียดเสียเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ชั่งน้ำหนัก และเปลือยกายสำรวจตัวเองในห้องน้ำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้วล่ะ




เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ทุกๆคนที่ตั้งใจลดน้ำหนักอย่างจิงจังน๊าา



Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Facebook Themes